บทที่ 3
“ชดเชยเหรอ? ที่ว่าชดเชยก็คือให้ฉันทำตัวเหมือนพวกเขา ให้ฉันต้องรู้จักคิด ต้องยอมญาดาวีทุกเรื่องงั้นเหรอ? การชดเชยแบบนี้ให้คุณเอาไหมล่ะ?”
เขมจิราตอกกลับจนกวินท์พูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าเงียบๆ ไม่ปริปากอีกต่อไป ในแววตาอดไม่ได้ที่จะฉายแววโกรธเกรี้ยวขึ้นมาวูบหนึ่ง
ตอนนั้นเขาก็ยังเป็นเด็ก การจะซุกซนก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขมจิราดึงดันจะออกไปเล่นกับเขาให้ได้ เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไง
แถมเขาก็ขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เธอก็ยังจะหยิบยกขึ้นมาพูดทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่าใจแคบสิ้นดี
“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้เธอเสียใจ แต่เธอเลิกอาละวาดได้แล้ว อย่ามาท้าทายขีดจำกัดของพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
บูรณ์วิรัชเห็นกวินท์มีท่าทีละอายใจ น้ำเสียงก็อ่อนลงเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อญาดาวีบอกว่าไม่เอารายการวาไรตี้ของเธอแล้ว ก็คือไม่เอา ฉันจะหาทรัพยากรดีๆ อย่างอื่นมาให้เธอเป็นการชดเชย เธอไปขอโทษพ่อแม่กับญาดาวีซะ เรื่องนี้ก็ให้มันจบๆ ไป”
“ครอบครัวพวกคุณนี่มันสุดยอดจริงๆ คำพูดไร้ยางอายขนาดนี้ยังพูดออกมาได้อย่างสวยหรู”
เขมจิราอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้ ถ้าอยู่ต่อไป เธอคงอดไม่ได้ที่จะด่าคนจริงๆ
“ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมแล้ว ในเมื่อเธอดึงดันจะตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเรา ก็ตัดไปเลย ถ้าวันนี้เธอกล้าเดินออกไปจริงๆ ล่ะก็ ต่อไปก็อย่าคิดที่จะกลับมาอีก ฉันจะดูซิว่าเธอจะแกล้งทำไปได้ถึงเมื่อไหร่”
พี่ใหญ่ ขุนพลก็พูดอย่างเด็ดขาด ตลอดปีกว่าที่เขมจิรากลับมา เธอก็คอยเอาอกเอาใจพวกเขาตลอด เขาไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะอยากตัดขาดจริงๆ คงแค่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากพวกเขาก็เท่านั้น เขาไม่เชื่อว่าเธอจะกล้าไปจริงๆ
“พวกคุณเลิกต่อบทให้ตัวเองเยอะขนาดนี้ได้ไหม? คิดว่าใครๆ ก็อยากได้สมบัติของตระกูลทับทองนักหรือไง?”
พูดจบเขมจิราก็หันหลังเดินจากไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง เสียงปิดประตูที่ดังสนั่นเข้ามาในห้องนั่งเล่น ทำให้ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ไม่คิดว่าเธอจะไปจริงๆ สีหน้าของหลายคนก็เริ่มดูแปลกไป
“ฉันว่านะ ที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะอยูข้างนอกขาดการอบรมสั่งสอน ไม่มีระเบียบวินัยเอาซะเลย ทำไมฉันถึงมีลูกแบบนี้ออกมาได้?”
คุณหญิงมาลิณีได้สติ ก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ เธอถึงกับสงสัยว่าตัวเองตรวจดีเอ็นเอผิดหรือเปล่า ญาดาวีที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ยังรู้จักกาละเทศะ แต่ทำไมเขมจิราถึงทำตัวเรียบร้อยไม่ได้แม้แต่ครึ่งหนึ่งของเธอ
“แม่ครับ เรารอดูกันไปก่อน ผมไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะกล้าไปจริงๆ ปล่อยให้เธอไปตากแดดตากลมข้างนอกสักสองสามวัน วงการบันเทิงมันเป็นเหมือนบ่อโคลน มีคนทุกรูปแบบ พอโดนรังแกแล้วไม่มีใครคอยปกป้อง เดี๋ยวเธอก็ต้องซมซานกลับมาเอง”
บูรณ์วิรัชกัดฟันพูด การที่เขมจิราเดินออกไปแบบนี้ ถ้าข่าวแพร่ออกไป คนก็จะมองเขาในฐานะพี่ชายในแง่ไม่ดีได้
“ใช่แล้ว คนที่ล่วงเกินตระกูลทับทอง ไม่มีใครกล้าจ้างเธอหรอก ปล่อยให้เธอไปเจอทางตันสักสองสามครั้ง เดี๋ยวก็รู้สำนึกเอง”
นิติพงศ์ก็พูดเห็นด้วย การที่เขมจิราจากไปทำให้เขามีความสุขที่สุด ไม่มีตัวป่วนคนนี้อยู่ บ้านจะได้สงบสุขสักสองสามวัน ญาดาวีก็จะไม่โดนรังแกด้วย
“พี่บูรณ์ พี่พงศ์ อย่าพูดแบบนั้นสิคะ เรื่องนี้เป็นความผิดของหนูเอง ถ้าหนูมีความสามารถพอที่จะเข้าร่วมรายการวาไรตี้นั้นได้ด้วยตัวเองก็คงดี พี่สาวจะได้ไม่ต้องมาโกรธพวกพี่ๆ แบบนี้”
ญาดาวีเห็นดังนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างถูกจังหวะ ทำให้ทุกคนรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาอีกครั้ง
เธอกดความดีใจในใจเอาไว้ ใบหน้ายังคงแสดงท่าทีน่าสงสาร “ให้พี่สาวใจเย็นลงก่อนนะคะ พรุ่งนี้หนูจะไปขอโทษ ถึงจะต้องอ้อนวอนก็จะตามพี่สาวกลับมาให้ได้ ยังไงซะพี่เขาก็เป็นคุณหนูของตระกูลทับทอง”
“ขอโทษทำไม? เธอไม่ได้ผิดอะไร เขมจิราต่างหากที่ใจแคบ เธอไม่ต้องไปรองรับอารมณ์ของยัยนั่น”
ทันทีที่ญาดาวีพูดจบ คุณหญิงมาลิณีก็พูดด้วยน้ำเสียงเชิงคำสั่งทันที
“ใช่แล้ว เขมจิราก็รู้จุดนี้ดี แค่เราใจอ่อนไปง้อ เธอก็ได้ใจ บรรลุเป้าหมายแล้ว”
ณัฐวีร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ กวินท์ก็พยักหน้าตาม “คนอย่างเธอไม่มีเหตุผลก็ยังจะเอาให้ได้สามส่วน การไปยอมก้มหัวให้มีแต่จะทำให้เธอได้ใจใหญ่ ตลอดปีกว่ามานี้ผมเจอมากับตัวจนซึ้งแล้ว”
ภูมิรพีก็พยักหน้า จากนั้นก็ตบไหล่ญาดาวีเบาๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูก ลูกอยู่ที่ตระกูลทับทองอย่างสบายใจเถอะ เดี๋ยวพอเขมจิราคิดได้เองก็จะกลับมาเอง ลูกไม่ต้องโทษตัวเองมาก”
“แต่ว่า...”
ญาดาวีลังเลพลางมองไปที่คุณหญิงมาลิณี ซึ่งท่านก็ตบมือเธอเบาๆ แล้วพูดปลอบเสียงอ่อนโยนว่า “ฟังพ่อของลูกเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หินที่ถ่วงอยู่ในใจของญาดาวีก็คลายลง เธอพยักหน้าอย่างจนใจ แต่ในใจกลับดีใจจนบอกไม่ถูก
ในเมื่อเขมจิราออกไปจากบ้านหลังนี้แล้ว ก็อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสกลับมาอีก
อีกด้านหนึ่ง
เขมจิราไม่ได้อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย หลังจากออกจากคฤหาสน์ตระกูลทับทอง เธอก็เรียกแท็กซี่ไปยังย่านเมืองเก่า
ก่อนที่จะถูกรับกลับไปตระกูลทับทอง เธอเคยอาศัยอยู่ที่ย่านเมืองเก่า โชคดีที่ตอนนั้นเธอเช่าห้องโดยทำสัญญาไว้สามปี ห้องยังไม่หมดสัญญา เธอก็ไม่กล้าบอกเลิกเช่ากับเจ้าของห้อง เลยปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น
ของที่เธอเอาไปตระกูลทับทองก็ไม่ได้เยอะมาก แถมปกติเวลาเธอเจอเรื่องไม่สบายใจอะไร ก็จะวิ่งมาทำความสะอาดห้องครั้งใหญ่ พอได้เหงื่อท่วมตัว อารมณ์ก็จะดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อกลับมาถึงห้อง เขมจิราก็รีบเปิดหน้าต่างระบายอากาศ จากนั้นก็ยกอ่างน้ำมา ค่อยๆ เช็ดฝุ่นบนเฟอร์นิเจอร์ทีละนิด
ในห้องไม่ได้สกปรกมากนัก เธอกำลังจะวางไม้ถูพื้นลง ทันใดนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา มองดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ แววตาก็เย็นชาลงทันที เป็นทีปกร
เธอไม่คิดเลยว่าชาติที่แล้วทีปกรจะหักหลังเธอด้วย
ตอนนั้นตอนที่เธอถูกกวินท์ทิ้งไว้ที่หน้าสวนสนุก เธอเกือบจะถูกแก๊งค้ามนุษย์ลักพาตัวไป โชคดีที่เธอมีไหวพริบขอความช่วยเหลือจากคุณลุงคนหนึ่งที่เดินผ่านไปมา
คุณลุงคนนั้นเป็นนักพรตเต๋า เห็นว่าเธอน่าสงสารจึงรับเธอไปเลี้ยงที่สำนักพรต ปู่ของทีปกรเป็นเพื่อนสนิทกับนักพรตเต๋า ทีปกรจึงมักจะตามครอบครัวมาที่สำนักพรตเป็นครั้งคราว ไปๆ มาๆ ทั้งสองคนก็สนิทกัน
ตอนเด็กๆ เขมจิราเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ชอบคบเพื่อน ขาดความมั่นใจและอ่อนไหวง่าย แถมยังชอบอาละวาดบ่อยๆ ทีปกรอายุมากกว่าเธอหลายปี คอยยอมและให้อภัยเธอทุกอย่าง
เธอจึงค่อยๆ ก้าวออกจากเงามืดในใจ และค่อยๆ กลายเป็นคนร่าเริงขึ้นมาก
ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกันแบบนี้ จนกระทั่งต่อมาปู่ของทีปกรเสียชีวิต ทีปกรจึงจำต้องตามพ่อแม่กลับไปที่เมืองหยุนเฉิง ทั้งสองจึงได้แยกจากกัน
เขมจิราไม่อยากจากเขา จึงทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ ด้วยความพยายามของตัวเอง ในที่สุดเธอก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองหยุนเฉิงได้
หลังจากเรียนจบ เมื่อรู้ว่าทีปกรเข้าวงการบันเทิง เธอก็ตามเข้าวงการบันเทิงไปด้วย หลังจากดิ้นรนต่อสู้ ในที่สุดเมื่อเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง เธอก็อดไม่ได้ที่จะสารภาพรักกับเขา
คำตอบของเขาคลุมเครือ ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีดีใจอะไรมากมาย
ตอนนั้นเขมจิราคิดแค่ว่าเขาไม่เคยมีความรักเลยอายและไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เธอถึงได้รู้ว่า ถ้าคนเรารักใครสักคนจริงๆ แววตามันซ่อนไม่ได้ ที่ผ่านมาเธอแค่หลอกตัวเองเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขมจิราก็ข่มความรู้สึกรังเกียจในใจลง แล้วพูดออกไปอย่างไม่เกรงใจว่า “มีธุระอะไรกับฉัน?”
“อีกไม่กี่วันเธอต้องไปร่วมรายการวาไรตี้ใช่ไหม?”
ทีปกรก็ไม่ได้อ้อมค้อม ถามเข้าประเด็นทันที น้ำเสียงค่อนข้างไม่พอใจ ซึ่งเขมจิราก็ฟังออก
“นายไปได้ยินมาจากไหน?”
เขมจิราไม่ได้รับหรือปฏิเสธโดยตรง แต่ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ชาติที่แล้วทีปกรก็ชอบญาดาวีเหมือนกัน แค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับญาดาวี เขาก็จะหูตาไวเป็นพิเศษ
