บทที่ 5 ลาจากอดีต
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันไม่ยักรู้เลยว่าคุณชายห้าแห่งตระกูลทับทองจะห่วงใยน้องสาวขนาดนี้ ไม่รู้ว่าฉันจำผิดไปหรือเปล่านะ”
เขมจิราจงใจพูด กวินท์ได้ฟังแล้วใบหน้าก็ปรากฏความกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ก่อนจะมองเธอด้วยสายตาขุ่นเคืองเล็กน้อย
“เขมจิรา เรื่องเก่าๆ ที่มันจบไปแล้ว เธอจะเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้เหรอ?”
“ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่คิดเล็กคิดน้อย ไม่ใช่แค่คิดเล็กคิดน้อยนะ ยังสองมาตรฐานอีกด้วย”
เขมจิราแค่นเสียงเย็นชา ในชาติที่แล้ว ทุกครั้งที่เธอพูดจา เธอมักจะระมัดระวังอย่างที่สุด พยายามไม่พูดถึงเรื่องในอดีต แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ญาดาวีไปฟ้อง คนตระกูลทับทองก็จะขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พอเธอพูดบ้างกลับหาว่าคิดเล็กคิดน้อย แต่พอพวกเขาขุดเรื่องเก่ามาพูดกลับไม่เป็นไร? ช่างน่าขันสิ้นดี
“พี่คะ พี่...”
“หยุดเลย ที่บ้านฉันไม่มีใครเหลือแล้ว ตายหมดแล้ว ไม่มีพี่ชายน้องสาวอะไรทั้งนั้น อย่ามายุ่งเกี่ยวกัน”
เขมจิราพูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งให้ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา นอกจากญาดาวีแล้ว สีหน้าของบูรณ์วิรัชและกวินท์ดูแย่ยิ่งกว่ากินแมลงวันเข้าไปเสียอีก
เขมจิราคนนี้ ช่างทำตัวเกินไปจริงๆ ถึงกับแช่งให้พวกเขาตาย
“พี่จะพูดแบบนี้ได้ยังไงคะ ยังไงซะ พี่บูรณ์กับพี่กวินท์ก็เป็นห่วงพี่จริงๆ นะคะ”
“ช่างเธอเถอะ เดี๋ยวถึงเวลาที่ต้องเสียใจ เธอก็รู้เอง”
บูรณ์วิรัชปรับสีหน้าให้เรียบลง ตบไหล่ญาดาวีเบาๆ ด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
กวินท์ก็พยักหน้าเห็นด้วย “เขมจิราไม่มีใครคอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก อาจจะเคยตัวกับความเอาแต่ใจ พอถึงเวลาที่จนตรอกก็จะรู้สำนึกเอง”
ญาดาวีพยักหน้า ในใจยิ่งรู้สึกสมใจ ทั้งสามคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานขณะเดินเข้าออฟฟิศไป
อีกด้านหนึ่ง เขมจิราที่นั่งอยู่บนรถก็จามออกมาสองครั้งติดกัน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใครกำลังด่าเธออยู่
เธอขยี้จมูกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดบัญชีโซเชียลมีเดียของตัวเอง
ก่อนที่จะถูกคนตระกูลทับทองรับกลับมา บัญชีของเธอและการประชาสัมพันธ์ต่างๆ บริษัทเล็กๆ แห่งเดิมแทบจะไม่เคยเข้ามาจัดการเลย เธอเป็นคนดูแลเองทั้งหมด
หลังจากที่คนตระกูลทับทองตามหาเธอเจอ ขุนพล พี่ใหญ่ของตระกูลทับทอง ซึ่งก็คือประธานบริษัท ทับทอง เอนเตอร์เทนเมนท์ ได้พาเธอไปยกเลิกสัญญากับบริษัทเดิมโดยตรง
ตอนนั้นเธอคิดว่าขุนพลทำไปเพื่ออนาคตที่ดีของเธอจริงๆ จึงเซ็นสัญญากับบริษัท ทับทอง เอนเตอร์เทนเมนท์โดยไม่ลังเล แต่ผลกลับกลายเป็นว่า ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปี ทรัพยากรที่ได้รับไม่เพียงสู้งานจากบริษัทเล็กๆ ที่เคยอยู่ไม่ได้ แต่จำนวนงานยังน้อยลงกว่าครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
บูรณ์วิรัชยิ่งไม่เคยสนใจไยดีเธอเลย มีผู้จัดการก็เหมือนไม่มี
ภายหลังเธอถึงได้คิดออกว่า ที่ขุนพลอยากให้เธอเซ็นสัญญากับบริษัท ทับทอง เอนเตอร์เทนเมนท์ ก็เพื่อที่จะควบคุมได้ง่าย ท้ายที่สุดแล้วเขาคือเจ้านาย อยากให้เธอรับงานอะไรเธอก็ต้องรับ
สรุปแล้ว ก็เพื่อปูทางให้ญาดาวีนั่นเอง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขมจิราก็เปิดข้อมูลในบัญชีโซเชียลมีเดียของเธอ แล้วไล่ลบโพสต์ที่บูรณ์วิรัชเคยโพสต์ไว้ส่งเดชทีละโพสต์ ทั้งยังลบข้อมูลโปรไฟล์ต่างๆ ที่เขาเคยสร้างภาพลักษณ์ให้เธอจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะแก้ไขข้อมูลใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเอง
ไม่มีคนตระกูลทับทองคนไหนที่หวังดีกับเธออย่างจริงใจเลย ตลอดเวลากว่าหนึ่งปีที่บูรณ์วิรัชเป็นผู้จัดการให้เธอ เขาไม่เคยใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แต่ในทางกลับกัน ญาดาวีที่เพิ่งเดบิวต์มาได้ปีกว่า กลับได้รับทรัพยากรดีๆ มากมาย
บางงานก็แย่งไปจากเธอ บางงานขุนพลก็ใช้เส้นสายหรือทุ่มเงินเพื่อให้เธอได้มา
เขมจิราเพิ่งจะตาสว่างเห็นธาตุแท้ของคนตระกูลทับทองก็ตอนใกล้จะตายในชาติที่แล้ว โชคดีที่ในชาตินี้ เธอยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ใต้บัญชีของเธอมีคอมเมนต์ด่าทออยู่ไม่น้อย เมื่อเธอลบโพสต์ คอมเมนต์เหล่านั้นก็ถูกลบตามไปด้วย บัญชีของเธอจึงว่างเปล่า ไม่นานเธอก็โพสต์ข้อความใหม่
การเริ่มต้นใหม่ ชีวิตใหม่
ให้ความรู้สึกเหมือนการเกิดใหม่ของนกฟีนิกซ์ ซึ่งก็ตรงกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้
ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง สลัดพวกปรสิตตระกูลทับทองทิ้งไป แล้วใช้ชีวิตให้ดีและยืนยาว
เมื่อเขมจิราโพสต์ข้อความออกไป ไม่นานก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์ ฐานแฟนคลับของเธอก็พอมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นแอนตี้แฟน
โดยเฉพาะช่วงปีกว่าที่เธอกลับมาอยู่กับตระกูลทับทอง แทบไม่มีผลงานดีๆ เลย มีแต่ข่าวฉาว
ถึงแม้เธอจะคบกับทีปกรอยู่ แต่เนื่องจากลักษณะพิเศษของอาชีพจึงยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ มีครั้งหนึ่งเธอไปเยี่ยมเขาที่กองถ่าย แล้วถูกปาปารัสซี่ถ่ายรูปได้พอดี
ตอนนั้นละครย้อนยุคที่ทีปกรแสดงกำลังดังมาก แต่ต้องไปถ่ายทำคลุกคลีอยู่กลางทะเลทราย สภาพแวดล้อมลำบากมาก เขมจิราอดสงสารไม่ได้ จึงทำอาหารไปส่งให้ด้วยตัวเองเป็นระยะๆ
ตอนที่ถ่ายทำเสร็จ เขมจิราไปหาพอดี ทีปกรจึงเสนอให้เธอนั่งเครื่องบินของกองถ่ายกลับไปด้วยกัน ตอนที่ออกมาจากสนามบิน ภาพที่ทั้งสองคนเดินอยู่ด้วยกันก็ถูกแฟนคลับถ่ายไว้ได้พอดี เธอจึงติดเทรนด์ค้นหาทันที
ตอนนั้นใต้โซเชียลมีเดียของเธอเต็มไปด้วยคำด่าทอ จนส่งผลกระทบต่องานของเธอหลายงาน พอขุนพลรู้เข้าก็เรียกเธอไปด่าอย่างรุนแรงในออฟฟิศ
แม้เขมจิราจะรู้สึกน้อยใจ แต่ก็รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงไปหาทีปกรเพื่อเสนอให้จัดงานแถลงข่าว เปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปเลย
พอทีปกรได้ฟังก็ปฏิเสธทันที บอกว่าถ้าเปิดเผยออกไป เธออาจจะโดนด่าหนักกว่าเดิม เขมจิราบอกว่าไม่เป็นไร แถมการเปิดเผยตรงๆ ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์แฟนหนุ่มที่ดีให้เขาได้อีกด้วย
ตอนนั้นเธอให้ความสำคัญกับทีปกรมากกว่าอาชีพการงานของตัวเองเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าต่อมาเขาจะหักหลังเธอ
ตอนนั้นทีปกรยืนกรานที่จะหดหัวอยู่ในกระดองให้ถึงที่สุด เขมจิราจึงทำได้แค่ไปหาบูรณ์วิรัชผู้จัดการของเธอ แต่กลับได้คำตอบลอยๆ กลับมาว่า “ก็แค่แฟนคลับจับแพะชนแกะไปเรื่อย เดี๋ยวไม่กี่วันกระแสก็ซาลงเอง”
บริษัท ทับทอง เอนเตอร์เทนเมนท์ไม่สนใจไยดีเธอเลย เขมจิราถูกตีตราว่าเป็นพวกชอบเกาะกระแส ทำให้เธอไม่มีละครให้เล่นติดต่อกันถึงสองเดือน
กระแสที่บูรณ์วิรัชพูดถึงลากยาวไปกว่าครึ่งเดือน พอจะซาลงหน่อย ก็มีคนถ่ายภาพเธอขึ้นรถตู้ของกวินท์ได้อีก
คราวนี้เธอถูกตีตราว่าเป็นพวกชอบเกาะกระแส หลายใจ และนางจิ้งจอกอย่างสมบูรณ์
ครั้งนั้นเป็นตอนที่เขมจิราถ่ายละครแล้วสลิงเกิดปัญหา ตกลงมาจากที่สูงสองเมตร คุณหญิงมาลิณีได้ยินข่าวจึงตุ๋นซุปแล้วให้กวินท์เอาไปให้เธอ
ก็เป็นครั้งนั้นเองที่เธอคิดว่าคุณหญิงมาลิณีเป็นห่วงและใส่ใจเธอ ดังนั้นตอนที่ข่าวออกมาเธอจึงไม่ได้คิดอะไรมาก มารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วคุณหญิงมาลิณีตุ๋นซุปให้ญาดาวี ส่วนของเธอเป็นแค่ของฝากเท่านั้น
กวินท์ก็แค่บังเอิญผ่านโรงพยาบาลพอดี ไม่ได้ตั้งใจไปเยี่ยมเธอโดยเฉพาะ
หลังจากเกิดเรื่อง กวินท์ก็ทำเหมือนทีปกร คือไม่พูดอะไรเลย ยึดหลักไม่แสดงท่าที ไม่อธิบาย ปล่อยให้กระแสข่าวลุกลามไปเอง
ทรัพยากรของเขมจิราจึงแย่ลงเรื่อยๆ และภาพลักษณ์ในสายตาของสาธารณชนก็ย่ำแย่ลงเช่นกัน
ในทางกลับกัน ญาดาวีที่เพิ่งเดบิวต์มาได้ปีกว่า กลับได้แสดงละครของผู้กำกับใหญ่ๆ ติดต่อกันหลายเรื่อง
มีครั้งหนึ่ง ตอนประกาศเปิดตัวละครใหม่ บูรณ์วิรัชถึงกับพากวินท์ไปปรากฏตัวเพื่อสนับสนุนเธออย่างเปิดเผย เรียกกระแสความสนใจไปได้อย่างล้นหลาม
ตอนนั้นบนโลกออนไลน์ต่างคาดเดาความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกันอย่างครึกโครม แท็กชื่อเขมจิราอย่างบ้าคลั่งเพื่อเยาะเย้ยว่าเธอถูกทิ้งแล้ว มีคนพูดไปต่างๆ นานา บางคนถึงกับเข้ามาถล่มในโซเชียลมีเดียของเธอว่าหน้าไม่อาย
กระแสข่าวดำเนินไปหลายวัน จนกระทั่งความร้อนแรงเริ่มพอเหมาะ กวินท์ถึงได้ออกมาชี้แจงว่าญาดาวีเป็นน้องสาวของเขา ส่วนเรื่องเขมจิรา เขาแค่บอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่คนรักกัน นอกนั้นไม่มีอะไร
ท่าทีของคนตระกูลทับทองที่มีต่อเขมจิราและญาดาวีนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ก็เป็นครั้งนั้นเองที่เธอเริ่มมีความคิดที่จะตีตัวออกจากตระกูลทับทอง แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ ก็มาตายเสียก่อน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขมจิราก็กัดฟันอย่างลับๆ เธอจะไม่มีวันใจอ่อนกับใครอีกต่อไป เธอจะไม่เชื่ออีกแล้วว่าบนโลกนี้จะมีใครมาดีกับเธอโดยไม่มีเหตุผล
จากนี้ไป ไม่ว่าเรื่องอะไร เธอจะให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับแรก ใครก็ตามที่คิดจะเอาเปรียบหรือรังแกเธอ ก็ไสหัวไปให้หมด
