บทที่ 10 บทที่ 10 เผาจวนใดดี
เมื่อกลับมาถึงจวนเมิ่งอ้ายเยว่ก็พบกับเถียนฮูหยินที่มายืนรออยู่พอดี เถียนฮูหยินมองนางด้วยแววตาที่โกธรกรุ่น นางรู้ได้ทันทีว่าตนคงถูกจับได้เสียแล้ว
เมิ่งอ้ายเยว่ไม่รู้ว่าเถียนฮูหยินรู้ได้อย่างไรว่านางหนีออกไปทางช่องลอดสุนัข แต่เมื่อได้เห็นอาหมี่ที่นั่งคุกเข่าตัวสั่นเทา เมิ่งอ้ายเยว่ก็เข้าใจเรื่องราวได้ทันที เถียนฮูหยินคงจะคาดคั้นเอากับอาหมี่สินะ
เถียนฮูหยินสั่งให้คนปิดตายช่องสุนัขลอดนั้นเสีย และลงโทษนางด้วยการโบยตี เมิ่งอ้ายเยว่ไม่ร้องออกมาสักคำ เป็นใต้เท้าเมิ่งที่รีบเข้ามาปรามภรรยาตนเพราะเกรงว่าเมิ่งอ้ายเยว่จะโดนตีจนตาย แรกเริ่มเมิ่งอ้ายเยว่ยังพอจะซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่เพราะเถียนฮูหยินโมโหมาก จึงเผลอหลุดปากพูดออกมาว่า ที่พวกเขาเก็บนางเอาไว้เพราะนางคือยันต์คุ้มภัยของคนตระกูลเมิ่ง หากนางทำพลาดแม้แต่นิดเดียว คนตระกูลเมิ่งก็จะมีเคราะห์ไม่จบไม่สิ้น
เมิ่งอ้ายเยว่นิ่งงันไปในทันที เมื่อประติดประต่อเรื่องราวได้ นางก็ยิ้มหยันในใจ
ที่พวกเขาไม่ไล่นางออกจากจวน ไม่ใช่เพราะเอ็นดูหรือรู้สึกผูกพันธ์กับนาง แต่เป็นเพราะพวกเขาเห็นนางเป็นเพียงเครื่องรางมนุษย์ เพราะนางมีวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากที่จะหนุนนำให้พวกเขามีบุตร ซ้ำยังมีดวงชะตาคุ้มภัยให้คนตระกูลเมิ่ง เพราะนางยังมีประโยชน์พวกเขาจึงไล่นางไปไม่ได้
และที่เถียนฮูหยินไม่ให้นางออกไปข้างนอก ไม่ใช่กลัวว่านางจะไปก่อเรื่อง แต่เป็นเพราะพวกเขากลัวว่านางจะเอาไออัปมงคลจากด้านนอกมาทำให้เมิ่งลี่หรูกับเมิ่งซานล้มป่วย
และที่นางต้องสวมเสื้อผ้าสีเรียบเหมือนสตรีถือศีล แล้วยังต้องกินแต่ผักเพื่อชำระจิตใจให้สะอาด แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะนางมีดวงชะตาพิเศษอันใดหรอก แต่เป็นเพราะว่านางคือเครื่องรางมนุษย์อย่างไรเล่า เพื่อให้เครื่องรางเช่นนางมีอานุภาพมากขึ้น เถียนฮูหยินจึงบังคับให้นางทำเช่นนี้
สารเลวสิ้นดี!นางสงสารเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่ายิ่งนัก ที่รักสองผัวเมียคู่นี้จากใจจริง แต่คนพวกนี้กลับไม่เคยมีความเมตตาให้นางเลยแม้เพียงเศษเสี้ยว
เครื่องรางมนุษย์ ยันต์กันภัยมนุษย์ ช่างเหลวไหลสิ้นดี หากทำแบบนี้แล้วจะรอดปลอดภัยจริงตามคำทำนาย เช่นนั้นบนโลกใบนี้ก็คงไม่มีคนตายแล้ว!
คำกล่าวที่ว่า จิตใจของคนยากแท้หยั่งถึง ที่แท้แล้วมันเป็นเช่นนี้เอง
เถียนฮูหยินหันไปสบตากับใต้เท้าเมิ่ง ยิ่งเห็นว่าเมิ่งอ้ายเยว่ไม่โวยวายและเงียบไปพวกนางก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นในใจ เมื่อครู่นางไม่ทันระวังจึงเผลอหลุดปากพูดออกไปจนหมด ยามนี้มานึกเสียใจทีหลังก็คงไม่ทันการณ์เสียแล้ว!
“จับนางไปขังเอาไว้ในเรือนเพื่อเป็นการลงโทษ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามปล่อยนางออกมา!”
เถียนฮูหยินออกคำสั่งอย่างเย็นชา ส่วนเมิ่งอ้ายเยว่นั้นยามนี้รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนจะไม่สบาย จึงไม่ได้ขัดขืนอันใด ยามนี้นางต้องพักให้หายดี จากนั้นค่อยคิดหาหนทางต่อไป
ด้านซือหม่าอี้เฉินนั้น ยามนี้เขากำลังทอดสายตามองไปที่จวนตระกูลเมิ่งอย่างเย็นชา หลังจากนางขอตัวกลับจวนเขาก็แอบติดตามนางมาและซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล เขาเห็นว่านางกลับเข้าจวนทางช่องลอดสุนัข จากนั้นก็เห็นว่ามีคนจัดการปิดตายช่องลอดสุนัขนั้นเสีย ชายหนุ่มย่นหว่างคิ้ว พลางสั่งให้องค์รักษ์ลับไปสืบเรื่องราวมาโดยละเอียด แล้วรีบกลับมารายงานเขาที่วังหลวง
เมื่อกลับมาถึงวังหลวงได้ไม่นานองค์รักษ์ลับก็รายงานเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง ชายหนุ่มถึงกับส่งเสียงเหอะในลำคออย่างดูแคลน พวกขุนนางชั้นสูงพวกนี้ ภายนอกมักชอบทำตัวสูงส่ง แต่ภายในกลับเน่าเฟะจนน่ารังเกียจ ถึงกับลงมือทำร้ายจิตใจของเด็กสาวคนหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น
ก่อนหน้านี้คนที่เขาส่งไปสืบเรื่องราวของเมิ่งอ้ายเยว่ได้กลับมารายงานเขาว่า ชาติกำเนิดของนางไม่ใคร่จะดีนัก นางเป็นบุตรของครอบครัวชาวนายากจนผู้หนึ่ง และถูกขายให้กับตระกูลเมิ่ง จากนั้นไม่นานครอบครัวเดิมของนางก็ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น
เมิ่งอ้ายเยว่นั้นแม้จะถูกเลี้ยงดูในนามของคุณหนูใหญ่ แต่กลับมีชะตาชีวิตที่น่าอดสู ยิ่งเขาสืบลึกลงไปกลับพบความชั่วช้าของคนตระกูลเมิ่งมากยิ่งขึ้น ภรรยาของใต้เท้าเมิ่งนับถือไต้ซือผู้หนึ่งอย่างลึกซึ้ง นางเลี้ยงเมิ่งอ้ายเยว่เอาไว้ข้างกายเพื่อให้ตนตั้งครรภ์ อีกทั้งยังมองเมิ่งอ้ายเยว่เป็นเพียงเครื่องรางมนุษย์ที่คอยรับเคราะห์แทนคนตระกูลเมิ่ง เมิ่งอ้ายเยว่ต้องสวมเสื้อผ้าคล้ายชุดคนถือศีล ไม่ได้แต่งกายงดงามเช่นสตรีคนอื่นๆ ยามอยู่ในจวนนางก็ได้กินแต่ผัก หนึ่งเดือนจะได้กินเนื้อสักครา เวลาจะออกไปนอกจวนเถียนฮูหยินต้องตามติดนางราวกับเงาตามตัว ชีวิตเช่นนี้ไม่ต่างจากนักโทษเลยด้วยซ้ำ
ช่างน่าเวทนานัก
ตอนที่เขายังเยาว์วัย เสด็จพ่อมักจะสอนเขาเกี่ยวกับเรื่องของใจคนอยู่เสมอ สิ่งใดในโลกหล้าที่ว่าคาดเดายาก ก็ยังไม่เท่าจิตใจของมนุษย์ ตอนที่เสด็จพ่อทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆต้องผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ทั้งการแก่งแย่งในหมู่พี่น้อง และการแก่งแย่งในวังหลัง รวมไปถึงความกดดันจากเหล่าขุนนาง เสด็จพ่อทรงสอนให้เขาเข้มแข็ง โหดเหี้ยม อย่าใจอ่อนโดยง่าย ไม่อย่างนั้นอาจจะปกป้องคนรอบตัวเอาไว้ไม่ได้
และสิ่งที่ควรระวังให้มากคือคนรอบกาย ยิ่งนั่งบนตำแหน่งสูง ยิ่งหาความจริงใจจากคนรอบกายได้ยาก นอกจากเสด็จแม่และท่านลุงแล้ว เขาก็ไม่เคยไว้ใจผู้ใดอีก
เดิมทีเขามีเสด็จอาอยู่คนหนึ่ง นามว่าซือหม่าเหลียน ยามนี้รั้งตำแหน่งชินอ๋องอยู่ ซือหม่าเหลียนเป็นบิดาแท้ๆของซือหม่าตง ญาติผู้น้องของเขา ซือหม่าเหลียนภายนอกดูเหมือนไม่ฝักใฝ่ในตำแหน่งแต่แท้จริงกลับลอบปลุกปั่นเหล่าขุนนางและราษฎรให้เกลียดชังเขาและยังซ่องสุมกำลังทหารเอาไว้ในมืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง เขารู้ดีกว่าใครว่าเสด็จอาของเขาผู้นี้หมายตาตำแหน่งฮ่องเต้ของเขามาโดยตลอด ภายนอกทำเป็นซื่อสัตย์แต่ในใจกลับซ่อนความชั่วร้ายเอาไว้ ที่ซือหม่าเหลียนไม่กล้าลงมือกับเขาซึ่งหน้าก็เป็นเพราะเกรงบารมีตระกูลหลี่ ซึ่งเป็นตระกูลเดิมของเสด็จแม่ที่คอยคานอำนาจกับเหล่าขุนนางอยู่
ท่านลุงของเขามีนามว่าหลี่หรง คอยสนับสนุนเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ อีกทั้งคนตระกูลหลี่ล้วนเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจมาหลายชั่วอายุคน และปกป้องฮ่องเต้มาหลายยุคหลายสมัย ตีคู่มากับตระกูลไป๋ แม้จะเป็นตระกูลแม่ทัพเหมือนกันแต่กลับไม่ได้สนทนาปราศรัยกันสักเท่าใดนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ซือหม่าเหลียนจะทำการใดล้วนไม่ง่ายนัก จึงทำได้เพียงลอบส่งนักฆ่ามาก่อความวุ่นวายเป็นระยะ อีกทั้งยังให้คนไปสร้างเรื่องหลอกลวงขุนนางและราษฎรว่าเขามีดวงอัปมงคลต่อแผ่นดิน แล้วยังมีดวงชะตาเป็นทรราช ส่วนซือหม่าเหลียนกลับมีดวงชะตาเทพมังกรจุติ ช่างเพ้อเจ้อสิ้นดี!
ราษฎรเริ่มหลงเชื่อแต่ไม่กล้าทำอันใด ส่วนเหล่าขุนนางก็แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนเขา ฝ่ายหนึ่งลอบสนับสนุนซือหม่าเหลียนอย่างลับๆ หวังจะให้อีกฝ่ายโค่นล้มอำนาจของเขาลงเสีย
ในเมื่ออยากให้เขาเป็นทรราชนัก เขาก็จะลองเล่นสนุกดูสักหน จากนั้นค่อยลากพวกคนชั่วออกมาสับเป็นชิ้นๆในภายหลัง
หนึ่งในขุนนางที่ลอบสนับสนุนซือหม่าเหลียนอย่างลับๆก็มีใต้เท้าเมิ่งรวมอยู่ด้วย
การพบเจอกันของเขาและเมิ่งอ้ายเยว่นั้นเดิมทีเป็นเรื่องของความบังเอิญ แต่เขาคิดจะใช้ประโยชน์จากนางเพื่อสืบเรื่องราวทุกอย่างในจวนตระกูลเมิ่ง แล้วจัดการลากตัวบงการใหญ่ออกมารับโทษ แต่กลับกลายเป็นว่า นอกจากจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากนางแล้ว เขายังตัดใจใช้นางเป็นหมากไม่ลง
ชะตาชีวิตของนางน่าเวทนาเกินไป ซ้ำยังถูกผู้คนเอาเปรียบ หากเมื่อครู่เขาไม่ผ่านไปพบเข้านางคงแย่ไปแล้ว และที่ผ่านมานางก็ไม่เคยคิดร้ายต่อเขา นางดูบริสุทธิ์ใสซื่อยิ่งกว่าขุนนางพวกนั้นเสียอีก นอกจากเรื่องกินกับนอนแล้ว นางก็ไม่คิดเรื่องอื่นอีก ยิ่งได้รู้ว่าวันนี้นางต้องพบเจอกับเรื่องบัดซบในจวนตระกูลเมิ่ง เขาก็ยิ่งตัดใจใช้งานนางไม่ลง นางมีน้ำใจช่วยเหลือคน ไม่ได้มีจิตใจชั่วช้าเช่นที่คนอื่นกล่าวอ้างเล่าลือ และวันนี้นางก็ยังช่วยเหลือซือหม่าตงญาติผู้น้องของเขาเอาไว้ด้วย
ปลาที่ใกล้จะขาดน้ำตายเช่นนี้ เขาตัดใจขอดเกล็ดมันไม่ลง อีกทั้งยังต้องการช่วยให้มันได้หายใจต่อไปอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ไว้ใจนาง ยิ่งนางเข้าไปพัวพันกับคนจวนชินอ๋องเช่นนี้เขายิ่งต้องจับตาดูนางต่อไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะหันมาเรียกฟ่านกงกง
"ตาแก่ฟ่าน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
“ไต้ซือเวรนั่นเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ทูลฝ่าบาท เขาหมดแรงจะร้องขอความช่วยเหลือแล้ว กระหม่อมสั่งให้คนจับตาดูเขาไม่ให้คลาดสายตาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ซือหม่าอี้เฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก เขาสั่งให้คนไปจับตัวไต้ซือลวงโลกผู้นั้นมาขังเอาไว้และทำการไต่สวนด้วยตนเอง หลังจากจับตัวไต้ซือชั่วผู้นี้มาได้แล้ว เขาก็สั่งให้คนของตนใส่หน้ากากหนังมนุษย์สวมรอยเป็นไต้ซือบัดซบผู้นี้เสีย จากนั้นก็ส่งไต้ซือตัวปลอมไปคอยรับใช้เถียนฮูหยินแทน
ในเมื่อคนตระกูลเมิ่งเชื่อคำทำนายทายทักถึงเพียงนั้น เขาก็จะใช้วิธีนี้ยื้อแย่งเอาปลาตัวนั้นมาเลี้ยงในวังหลวง เขาอยากจะเห็นนักว่าคนตระกูลเมิ่งจะทำหน้าเช่นไร!
ซือหม่าอี้เฉินส่งเสียงหัวเราะหึหึ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับฟ่านกงกง
"ตาแก่ฟ่าน วันนี้ข้ารู้สึกอารมณ์ไม่ดี อยากจะเผาคลังสมบัติของพวกขุนนางเล่นเสียหน่อย เจ้าว่า ข้าจะเลือกเผาจวนใดดี!"
ฟ่านกงกงหนังตากระตุก รู้สึกว่ามือไม้อ่อนแรงขึ้นมาชั่วขณะ
ฝ่าบาท คนเขายิ่งบอกว่าพระองค์มีดวงชะตาเป็นทรราช พระองค์ก็ยังจะหาเรื่องเล่นพิเรนท์ไม่เลิก!
“ตาแก่ เจ้ากำลังแอบด่าข้าในใจอยู่สินะ?”
“บ่าวมิกล้า!”
ซือหม่าอี้เฉินส่งเสียงเหอะในลำคอ เขาใช้ปลายนิ้วชี้เคาะลงไปบนโต๊ะเป็นจังหวะที่ไม่รีบไม่ร้อน ฟ่านกงกงถึงกับทอดถอนใจ เสียงเคาะโต๊ะของฝ่าบาทเหมือนเสียงเร่งเวลาบรรลัยของเหล่าขุนนางอย่างไรอย่างนั้น
“อ่า ข้านึกออกแล้ว ข้าเลือกจวนตระกูลเมิ่งก็แล้วกัน คืนนี้ส่งองค์รักษ์ลับฝีมือดีไปเผาคลังสมบัติของใต้เท้าเมิ่งสักหน่อย เอาแค่พอหอมปากหอมคอนะ”
"ฝ่าบาท! หากมันลามไปยังสมบัติชิ้นอื่น หรือเรือนหลังอื่นเล่าพ่ะย่ะค่ะ!"
"ช่างหัวมันประไร นั่นเรือนตระกูลเมิ่งไม่ใช่เรือนของข้าเสียหน่อย พวกมันหาน้ำมาดับไฟไม่ทันเองต่างหาก ข้าไม่รู้เรื่องด้วยเลยแม้แต่น้อย"
"เช่นนั้นหากแผนการไม่สำเร็จเล่าพ่ะย่ะค่ะ?"
"ก็หาฤกษ์งามยามดีไปเผาใหม่ มันต้องมีสักวันที่เผาสำเร็จ หากพวกมันยังโลภมากอยากได้อยากมีในของที่ไม่ใช่ของตนเองไม่เลิก ก็เผาจวนพวกมันให้วอดวายไปเลย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว อ้อ ตาแก่ฟ่าน เจ้ากำชับคนของเราด้วยว่า ระวังอย่าให้ลามไปถึงเรือนพักของเมิ่งอ้ายเยว่เด็ดขาด คราวก่อนขันทีซ่งมาบอกข้าว่านางพักอยู่เรือนทางทิศเหนือ ใกล้กับสระบัวอันใดสักอย่าง พวกเจ้าสังเกตให้ดีหน่อยเล่า ส่วนเรือนอื่นหากมันจะมอดทั้งหลังก็ช่างหัวมันเถอะ ข้าจะดูสิว่าหากใต้เท้าเมิ่งเกิดเรื่อง เสด็จอาจะยื่นมือเข้าช่วยหรือว่าพวกเขาจะกัดกันเอง เห้อ ข้านี่ช่างวางแผนการณ์ได้เยี่ยมยอดจริงๆเลย ตาแก่ฟ่าน เจ้าลองเอ่ยชมข้าให้ชื่นใจหน่อยสิ พูดตามข้านะ เริ่ม! ไอ้ชั่วนี่ช่างคิดแผนการออกมาได้ยอดเยี่ยมจริงๆ เร็วๆเข้าสิ เน้นคำว่าไอ้ชั่วให้มันหนักแน่นหน่อย มาเลย!"
ฟ่านกงกงเริ่มหายใจติดขัด ก่อนจะล้มตึงลงไปที่พื้นและชักเกร็งจนตาเหลือก
“อ้าว เจ้าชักเช่นนี้แล้วผู้ใดจะไปสั่งงานแทนข้ากันเล่า ตาแก่ฟ่านลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ หมอหลวง! พวกเจ้ารีบไสหัวเข้ามาเดี๋ยวนี้ ตาแก่ฟ่านตาเหลือกแล้ว!”
ฟ่านกงกงยังคงนอนตาเหลือกไม่เลิก เขาทนไม่ไหวแล้ว ขอตัวลงไปนอนชักก่อนแล้วค่อยคิดหาหนทางรับมือกับทรราชน้อยผู้นี้ทีหลัง!
