บทที่ 7 บทที่ 7 ชายปริศนา
เมื่อเมิ่งอ้ายเยว่กลับมาถึงเรือนของตนก็ยังคงโมโหไม่หาย อยู่ๆนางก็รู้สึกว่ามีน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยของตน หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดมันอย่างลวกๆ นางค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของนาง แต่เป็นความรู้สึกของเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่ สตรีนางนั้นรักเถียนฮูหยินราวกับมารดาแท้ๆของตน ที่นางชอบทำตัวแย่ๆก็เพราะต้องการให้เถียนฮูหยินสนใจและมอบความรักให้สักนิด แท้จริงแล้ว เมิ่งอ้ายเยว่คนเก่าอาจจะไม่ได้จิตใจเลวร้ายมาแต่กำเนิด แต่เป็นเพราะนางต้องการความรักจากผู้คนรอบข้างจึงแสดงออกมาอย่างผิดๆเช่นนั้น
ตอนอ่านนิยายนางยังไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมเท่าใดนัก แต่เมื่อได้มาอยู่ในร่างนี้นางกลับเข้าใจความรู้สึกของเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่ามากขึ้นและรู้สึกสงสารอย่างจับหัวใจ
ความรู้สึกอึดอัดและเจ็บแค้นน้อยใจเช่นนี้ ทำเอาเมิ่งอ้ายเยว่ไม่สบายตัวเท่าใดนัก นางต้องใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะจัดการอารมณ์เหล่านี้ออกไปจากจิตใต้สำนึก เมื่ออารมณ์ขุ่นมัวหายไปจนหมดสิ้นแล้ว นางก็มองไปยังเตียงหลังใหม่ที่วางอยู่ในห้องนอนคราหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปดูมันใกล้ๆ
เตียงหลังนี้ค่อนข้างใหญ่มาก อีกทั้งยังมีหลังคาและผ้าม่านปิดล้อมรอบเอาไว้อย่างดี ด้านในตกแต่งด้วยลายสลักดอกไม้ ที่นอนก็นุ่มเป็นอย่างมาก นางลองทิ้งกายลงนอนก็พบว่ามันนอนสบายดีทีเดียว
แต่ทว่าต่อมาในใจของนางก็เกิดความสงสัยที่ยังหาคำตอบไม่ได้ขึ้นมาอีกหน นางไม่เคยพบเจอกับฮ่องเต้เลย แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่านางทำความดีอันใดไว้
นางจำได้ว่าฮ่องเต้ผู้นี้ในนิยายอายุยังน้อยนักและยังมีจิตใจชั่วร้าย ไม่เห็นหัวผู้ใด เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ อีกทั้งยังทำตามใจตนไม่สนคำทัดทานของใครและไม่สนใจราษฎร เรื่องการพระราชทานรางวัลนั้นตัดทิ้งไปได้เลย นอกจากจะไม่มอบรางวัลแล้ว ยังจ้องแต่จะขูดเลือดขูดเนื้อเอาภาษีจากราษฎรอีกด้วย สุดท้ายแล้วก็ตกตายเพราะถูกไป๋จิ่งหยวนสังหาร วันที่เขาตายผู้คนต่างฉลองกันเจ็ดวันเจ็ดคืนอย่างสำราญใจ
แต่ยามนี้เขากลับมอบของรางวัลให้นาง นี่มันเรื่องใดกัน เหตุใดไทม์ไลน์ของเรื่องราวจึงไม่เป็นไปตามนิยายกันเล่า
ให้ตายเถอะ ยิ่งคิดยิ่งปวดสมอง เอาเป็นว่ารับของเหล่านี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน อีกอย่างเตียงนี่ก็ถูกใจนางอย่างมาก
เมิ่งอ้ายเยว่รีบล้างหน้าล้างตาให้สะอาด แล้วจึงเอ่ยเรียกอาหมี่ให้เข้ามาหา
“อาหมี่”
“เจ้าคะ”
“เอาของรางวัลเหล่านี้ไปเก็บ แล้วไปเอาอาหารเลิศรสมา วันนี้ข้าจะนอนกินมันบนเตียงนี่แหละ!”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การกินอิ่มนอนหลับย่อมต้องมาก่อนเสมอ
หลายวันต่อจากนั้น เถียนฮูหยินก็ส่งคนมาจับตาดูนาง เพราะเกรงว่านางจะแอบออกไปนอกจวนอีก เมิ่งอ้ายเยว่เองก็อดทนอดกลั้นเป็นอย่างยิ่ง นางทำตัวตามสบายไร้พิรุธ รอจนเถียนฮูหยินคลายความระแวดระวังลงแล้ว นางจึงออกไปด้านนอกจวนอีกหน
ก่อนหน้านี้เถียนฮูหยินสั่งให้สาวใช้มาเอาของรางวัลของนางกลับไป แต่ทว่าไม่สำเร็จ เมิ่งอ้ายเยว่ล้วนมีสารพัดวิธีการมาป้องกันสิทธิประโยชน์ที่ตนเองควรจะได้รับ สุดท้ายแล้วเถียนฮูหยินก็เป็นฝ่ายถอดใจไปเอง
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว นางก็ออกจากจวนทางช่องลอดสุนัขเช่นทุกครั้ง อาหมี่อยากจะห้ามแต่กลับไม่กล้าปริปาก ทำได้เพียงอยู่รับหน้าแทนเจ้านายของตนเหมือนเช่นที่ผ่านมา
เมิ่งอ้ายเยว่นำผ้าแพรที่ได้มายังร้านตัดชุด และให้เถ้าแก่ร้านช่วยตัดชุดใหม่ให้นางสักสองสามชุด เพราะชุดที่เถียนฮูหยินให้นางสวมใส่มาตลอดนั้นออกจะเหมือนชุดของสตรีถือศีลไปเสียหน่อย นางชอบเสื้อผ้าสีสันสดใสมากกว่า ส่วนพวกเครื่องประดับอื่นๆนางล้วนเก็บซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี เถียนฮูหยินย่อมไม่มีทางหาเจอ
หลังออกมาจากร้านตัดชุด นางก็เดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นอย่างเบื่อหน่าย อยู่ๆในใจก็คิดถึงเด็กหนุ่มหน้าหยกนามว่าอาอี้ขึ้นมา หญิงสาวส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป แม้ในยุคโบราณเด็กอายุสิบแปดจะนับว่าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ว่านางก็ยังคิดว่าเป็นเด็กมัธยมปลายไฮสคูลอยู่ดี
ในขณะที่นางกำลังคิดอันใดไปเรื่อยเปื่อย กลับได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากอีกฝากฝั่งหนึ่งของถนน เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็พบว่ามีบุรุษผู้หนึ่งที่แต่งกายเหมือนบัณฑิต กำลังโดนพวกชายหน้าบากสามสี่คนวิ่งไล่อย่างไม่ลดละ เมิ่งอ้ายเยว่ทำเป็นมองไม่เห็นเพราะไม่อยากจะหาเรื่องวุ่นวายให้กับตนเอง นางรีบเร่งฝีเท้าและหันหลังเดินไปอีกทาง แต่ทว่ากลับมีมือปริศนาของใครบางคนมาคว้าจับมือของนาง และลากนางให้วิ่งหนีไปด้วยกัน เมื่อนางเงยหน้าไปมองก็พบว่าเป็นชายหนุ่มที่ถูกไล่ตีผู้นั้นนั่นเอง เมิ่งอ้ายเยว่ยังไม่ทันได้สะบัดมือออก เขาก็ลากนางให้วิ่งหนีตายไปด้วยกันอย่างรวดเร็วเสียแล้ว วิ่งอยู่นานก็สามารถหนีจากการไล่ล่ามาได้อย่างปลอดภัย
เมิ่งอ้ายเยว่ถอนหายใจเหนื่อยหอบ นางหันมามองชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเคืองๆ เขาเองก็มองนางเช่นเดียวกัน เมื่อได้เห็นหน้านางชัดๆเขาก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
"อ้าว แม่นางเจ้าเป็นผู้ใดกัน ให้ตายเถอะ นางโลมที่ข้าพาตัวมาด้วยเล่าหายไปที่ใดแล้ว?"
เขาเอ่ยพลางหันรีหันขวางเพื่อมองหาคน เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับร้องอ้อในใจ ที่แท้คนที่เขาต้องการลากให้วิ่งหนีตายมาด้วยกันก็คือนางโลม แต่เขาดันคว้าจับมาผิดคน?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงยกเท้าขึ้นเตะหน้าแข้งเขาอย่างแรงจนคนถูกเตะร้องไม่เป็นภาษา
"แม่นาง เจ้าเตะข้าทำไมกันเล่า!"
"เจ้าตาบอดหรือ ข้าไม่ใช่นางโลมของเจ้า คิดจะลากข้ามาเสี่ยงตายหรือ!"
"ข้าไม่ทันระวังจึงคว้าจับผิดคน แม่นางโปรดอภัยด้วย"
"เดี๋ยวก็ถีบเข้าให้อีกหน คำแก้ตัวฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย!"
ชายหนุ่มคนนั้นโดนเมิ่งอ้ายเยว่ด่าจนหน้าม่อย ก่อนจะเอ่ยขอโทษขอโพยนางเป็นการใหญ่ เมิ่งอ้ายเยว่ที่เห็นว่าเขารู้สึกผิดจริงๆก็คร้านจะถือสา เมื่อมองให้ดีดี ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยังอายุไม่มาก ดูแล้วน่าจะรุ่นราวใกล้เคียงกับอาอี้เสียด้วยซ้ำ
ให้ตายเถอะ นิยายเล่มนี้มันเป็นแหล่งกำเนิดพวกเด็กลิงหรือไรกัน!
"ว่าแต่เจ้าไปทำสิ่งใดมาจึงถูกคนพวกนั้นไล่ล่ามาเช่นนี้?"
เมิ่งอ้ายเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย นางทิ้งกายลงนั่งที่ริมทางอย่างเหนื่อยล้า ส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นเมื่อเห็นว่านางนั่งลง เขาจึงนั่งตามบ้าง
"คือว่า ข้าอยากจะช่วยนางโลมผู้หนึ่ง นางถูกนำมาขายโดยที่ไม่เต็มใจ ข้าสงสารนัก แต่เงินข้ามีไม่พอ จึงคิดจะพานางหนีกลับจวน ขอเพียงกลับจวนข้าได้อันธพาลพวกนั้นย่อมไม่กล้ามาพาตัวคนกลับ แต่ว่าข้ายังเดียงสานัก ไม่อาจสู้กับคนพวกนั้นได้ เห้อ ยามนี้นางคงถูกจับตัวกลับไปแล้วกระมัง"
เด็กหนุ่มเอ่ยตอบอย่างอดสู เมิ่งอ้ายเยว่เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย อย่างไรเสียเขาก็ยังมีใจเมตตา
"บางครา นั่นอาจจะเป็นชะตาชีวิตของนาง แต่เจ้าก็ไม่ควรเอาตนเองไปเสี่ยง หากว่าได้รับอันตรายถึงชีวิต บิดามารดาของเจ้าจะต้องปวดใจเป็นแน่”
เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินอย่างนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปทันที หากบิดามารดาห่วงใยเขาจริงๆก็คงดีสิ
เขาไล่ความคิดในหัวออกไปจนหมด เพราะไม่อยากคิดถึงมันอีก ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเมิ่งอ้ายเยว่
"ข้าชื่อซือหม่าตง ปีนี้อายุสิบเจ็ด ข้าเป็นซื่อจื่อจวนชินอ๋อง บิดาข้าเป็นเสด็จอาแท้ๆของฝ่าบาท แล้วเจ้าเล่าชื่ออันใด?"
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับสะดุ้งในใจ เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์เชียวหรือ เมื่อครู่นางทั้งด่าทั้งเตะเขาไปไม่น้อยเลย
ด้านซือหม่าตงก็พอจะมองออกว่าเมิ่งอ้ายเยว่คิดสิ่งใดอยู่ เขาจึงฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่ถือสา
"เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ถือสาหรอก ครั้งนี้เป็นข้าที่ผิดเอง แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเอ่ยวาจาเกรงอกเกรงใจกับข้าด้วย สนทนากันตามปกติเถอะ"
เมิ่งอ้ายเยว่พยักหน้าเล็กน้อย ความกังวลในใจลดลงไปกว่าครึ่ง
“ข้าชื่อเมิ่งอ้ายเยว่”
ซือหม่าตงเมื่อได้ยินชื่อแซ่ของสตรีตรงหน้าก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่าในเมืองหลวงมักจะมีเรื่องเล่าของสตรีนิสัยไม่ดีนางหนึ่งปรากฏอยู่ในวงสนทนาทั่วทุกหย่อมหญ้า นางมีนามว่าเมิ่งอ้ายเยว่ แต่ว่าเขาไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน ได้ยินเพียงกิตติศัพท์ความร้ายกาจเท่านั้น วันนี้ได้มาเจอตัวเป็นๆเขาจึงค่อนข้างตกใจไม่น้อย เขาจ้องนางอยู่เช่นนั้นและยิ้มแห้งๆ เมิ่งอ้ายเยว่เองก็ยิ้มตอบเขาหนหนึ่ง
“เจ้าคงรู้จักชื่อเสียงข้าอยู่ไม่น้อยสินะ ใช่แล้ว ข้าคือนางปีศาจตนนั้นแหละ”
เอาเถอะ ในเมื่อชื่อเสียงมันย่ำแย่ปานนั้นแล้ว ก็เอาให้สุด
ซือหม่าตงอมยิ้มน้อยๆ และขยับเข้าไปใกล้นางอีกหน่อย
“คราวหน้าหากข้าได้ยินว่าพวกเขานินทาเจ้าอีก ข้าจะส่งคนไปเตะปากให้เอง”
เมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกขบขันไม่น้อย นางผลักเขาให้ออกห่างจากตัว แล้วจึงลุกขึ้นยืน
“ข้าจะกลับแล้ว เจ้าก็รีบกลับ อย่าให้พวกมันตามมาพบอีก ข้าว่าพวกมันอาจจะยังไม่ยอมรามือ”
“อืม”
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันไปตามทางของตน พวกอันธพาลหน้าบากกลับตามหาตัวซือหม่าตงพบเสียก่อน พวกมันเข้ามาล้อมตัวเมิ่งอ้ายเยว่และซือหม่าตงเอาไว้ เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับกุมขมับ นางออกจวนมายังไม่ถึงวันกลับมีคอนเท้นต์พุ่งเข้าใส่เสียอย่างนั้น ซ้ำร้ายยังเป็นคอนเท้นต์ที่ต้องหนีตายอีกด้วย!
"เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อ มีองค์รักษ์ลับคอยคุ้มครองหรือไม่?"
นางหันมาเอ่ยถามซือหม่าตง แต่เขากลับส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
"ไม่มี ข้าไม่ให้พวกเขาตามมา ข้ากลัวพวกเขาจะลากข้ากลับจวน"
เวรละสิ!
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับหมดคำจะพูด เด็กซนนี่หาแต่เรื่องแต่กลับไม่รู้จักหาวิธีปกป้องตนเองเช่นนี้มันใช้ได้ที่ใดกัน นางมองไปที่อันธพาลพวกนั้นก่อนจะครุ่นคิดหาวิธีหนีเอาตัวรอด ฉับพลันนางก็คิดวิธีเอาตัวรอดแบบเบสิคออกมาได้
"นั่นมันคนของทางการนี่!"
เมิ่งอ้ายเยว่ชี้มือมั่วๆไปทางด้านหลังของพวกอันธพาลหน้าบาก เมื่อพวกมันได้ยินเช่นนั้นก็รับหันกลับไปมอง แต่กลับไม่เห็นคนของทางการสักคน เมิ่งอ้ายเยว่อาศัยจังหวะนี้กระโดดถีบพวกมันจนล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น แล้วจึงลากตัวซือหม่าตงให้วิ่งหนีตายไปด้วยกัน คนทั้งสองวิ่งลัดเลาะไปตามทางอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าพวกมันไม่ตามมาแล้วจึงหยุดวิ่งและทิ้งกายลงนั่งข้างทางอย่างหมดสภาพโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองมา
"เมิ่งอ้ายเยว่ ขอบใจเจ้ามาก หากไม่ได้เจ้า ข้าตายแน่!"
ซือหม่าตงเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เมิ่งอ้ายเยว่เองก็หายใจไม่ทั่วท้องเช่นเดียวกัน
"ซือหม่าตง ต่อไปเจ้าเลิกช่วยคนส่งเดชเถอะ ก่อนจะอายุสั้น!"
"ไม่ ข้าเห็นคนเดือดร้อนไม่ได้ นี่คือจิตวิญญาณคนดีของข้า ข้าเกิดมาเพื่อผดุงคุณธรรม"
"วิญญาณเจ้าจะหลุดออกจากร่างก่อนน่ะสิเด็กผี ก่อนจะผดุงคุณธรรม ช่วยประคองชีวิตตนเองให้รอดก่อนเถอะ!"
