บทที่ 11 โลกของนางบำเรอ (3)
ซึ่งปกติเขาหลงใหลความอ่อนหวานและเรือนกายหอมๆ ของสตรีอีกทั้งยังขยันอุ่นเตียงอยู่เสมอ แต่จู่ๆ เมื่อพบหญิงงามนางนี้กลับรู้สึกแตกต่าง มิใช่ไร้ความสิเน่หา แต่เป็นเพราะเขาอยากให้ทุกอย่างถูกต้อง อีกทั้งต้องการได้หัวใจซูกุ้ยฟาง หัวใจที่จะรักเขาอย่างแท้จริง มิใช่เคลือบแคลงด้วยเล่ห์กลอื่น
ในห้วงเวลานี้เขาตระหนักถึงเขาคำพูดของหมอดูตาบอดพเนจรที่บอกว่า เขาจะได้ช่วยชีวิตหญิงสาวนางหนึ่ง สตรีผู้นี้จะพลิกชีวิตเขาไปอีกด้าน แต่ให้พึงระวังเรื่องอุ่นเตียง ซึ่งเขาก็แปลกใจอยู่ครามครัน ในใต้หล้านี้จะมีสตรีนางใดปราบแท่งหยกงดงามและอันใหญ่ยักษ์ของเขาให้สงบและเชื่องลงได้
แน่ละ ชื่อเสียงแม่ทัพเตียงหักมิใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าขานเล่นๆ แต่มันเกิดขึ้นเมื่อตอนเขารับตำแหน่งใหม่ๆ องค์รัชทายาทได้เสนอหญิงงามให้เขาถึงสามคน เพื่อไม่ให้พวกนางน้อยหน้ากัน เขาจึงได้มอบความสำราญแก่หญิงงามเหล่านั้นบนเตียงไม้หลังใหญ่อย่างพร้อมเพรียง และนั่นกลายเป็นข่าวใหญ่โต เพราะยังไม่ทันได้เสร็จกิจขาเตียงก็หักดังโครม!
กระทั่งมีช่างตีเหล็กฝีมือดีเสนอจะทำเตียงเหล็กให้เขา แต่แม่ทัพหยางปฏิเสธ ข่าวนี้ยิ่งเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว ในที่สุดหยางอี้คังจึงมีฉายาว่า ‘แม่ทัพเตียงหัก’ ไปโดยปริยาย
หลังเหตุการณ์ขาเตียงหักก็มีเหตุร้ายตามมา สามปีหลังจากนั้นเขาก็ชนะสงครามทางใต้ ได้หญิงงามเป็นของขวัญ คราวนี้พวกนางมากันถึงห้าคน ชายหนุ่มก็ปรนเปรอมอบความสุขให้อย่างถ้วนทั่ว เพราะเขาอยู่ในวัยกลัดมันและลุ่มหลงเรื่องอุ่นเตียงเป็นทุนอยู่แล้ว ทว่าพอเสร็จกิจหญิงสาวทั้งห้าต่างเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา จะว่าตายคาอกก็มิผิด เรื่องดังกล่าวจึงฝังใจเขาเรื่อยมาก พลอยให้หยางอี้คังไม่อยากยุ่งเกี่ยวเสพรักกับสตรีนางใด
ดวงตาคมหรี่มองหญิงงามตรงหน้า นางสวยบาดตามากด้วยแรงขับเคลื่อนทางเพศ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกไม่ไว้วางใจ คือหญิงสาวผู้นี้ดูอย่างไรก็ผิดแผกจากสตรีทั่วไป จนเขาเกรงว่านางอาจมีประสงค์ร้ายแอบแฝง แต่เขายังไม่แจ้งใจเรื่องนี้
“เจ้านึกเช่นไร ถึงได้แปลงโฉมตนเป็นหญิงในสำนักโคมเขียว”
หยางอี้คังถาม เขามิอาจละสายตาจากสตรีเบื้องหน้า หัวใจชายหนุ่มเต้นแรงจนรู้สึกประหม่า ด้วยซูกุ้ยฟางกะพริบแพขนตาถี่ๆ และยังทำปากเผยอราวกับซดน้ำแกงร้อนๆ และมีรสจัด
“เจ้าดูเหมือนร้อนและเผ็ด!”
“เปล่าเสียหน่อยท่านแม่ทัพ ผู้น้อยแค่หิว!”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วหนาเป็นแพทั้งสองข้างขึ้น สตรีเช่นนี้เขาไม่เคยพบพาน
“โอ้ ผู้น้อยเพียงแค่เย้าท่านแม่ทัพ ที่ทำทั้งหมดนี้เพราะอยากเป็นอาหารตาให้ท่านสำราญใจ”
หญิงสาวตอบอย่างเปิดเผยเจตนาชวนอุ่นเตียง ส่งผลให้แม่ทัพหนุ่มทำเสียงคำรามเตือน เขาอยากเอ่ยปากต่อว่านางอยู่บ้าง แต่เห็นว่าศีรษะนางได้รับการกระทบกระเทือนหลายส่วน และยังจากบ้านจากเมืองมาไกล เขาเลยต้องเก็บคำพูดร้ายๆ เอาไว้ กระนั้นยังไม่วายเหน็บนางพอให้รู้จักสงวนท่าที
“ข้าควรเรียกหมอจากสำนักแพทย์ประจำเมืองหรือไม่ เหตุใดถึงทำตัวเหมือนสตรีประหลาดที่ถูกนางจิ้งจอกสิงร่าง”
ซูกุ้ยฟางยืนตะลึงนานหลายอึดใจ ก่อนบีบน้ำตาออกมา กิริยานางทำให้หยางอี้คังแปลกใจ
“ทะ ที่ผู้น้อยทำไปทั้งหมด เพราะไม่อยาก...ถูกท่านแม่ทัพส่งตัวไปยังชายแดน หรือต้องกลายเป็นเมียโจร หากร้ายแรงกว่านั้น ทะ ท่านคงขายให้ไปเป็นคณิกา ตอนที่อยู่ในตลาดผู้น้อยกลัวจับใจ ท่านแม่ทัพอย่าได้กระทำต่อผู้น้อยเยี่ยงนั้นเลย หากต้องตกต่ำอีกหน สตรีแซ่ซูขอกัดลิ้นตัวเองตาย หรือไม่ท่านแม่ทัพโปรดมอบยาพิษแก่ผู้น้อย แต่หากยังมีเมตตา ขอเป็นยาพิษที่ไม่ทำให้ร่างกายงดงามนี้อุจาดตาเมื่อสิ้นลมหายใจ”
ชายหนุ่มได้ฟังคำสาธยายยาวเหยียดก็ทึ่งในความช่างเจรจาของสาวงามจนต้องอมยิ้ม ซูกุ้ยฟางเป็นหญิงสาวที่แตกต่างจากผู้ใดที่เขาเคยเกี้ยว กระนั้นเขาก็เลือกทำเสียงคำรามดุๆ ใส่สาวงาม
“เหลวไหล เห็นข้าเป็นบุรุษใจดำอำมหิตเช่นนั้นหรือ”
“ผะ ผู้น้อยผิดไปแล้ว แต่เท่าที่ทราบตอนนี้ ทะ ท่านแม่ทัพ...ไม่อยากเหลียวแล ผู้น้อย!”
ร่างสูงลุกขึ้นจากม้านั่ง ส่งสายตาคมมองร่างเย้ายวนที่มีกลิ่นกายหอมหวาน พลางคิดในใจว่า หากเขาจะลิ้มชิมรสชาตินางสักคราจะเป็นการดีหรือไม่
“บุรุษเช่นข้าย่อมมีเหตุผล และหญิงงามเช่นเจ้า หากผู้ชายมิตายด้านหรือนิยมการตัดแขนเสื้อ ย่อมสยบแทบเท้ามิอาจหันใจไปทางอื่น”
ซูกุ้ยฟางมองใบหน้าคมคาย ก่อนหยุดที่ดวงตาดุจพญานกอินทรีของหยางอี้คัง
“แล้วท่านแม่ทัพเล่า คิดเห็นการใดต่อผู้น้อย”
“กุ้ยฟาง หากไม่หลงเสน่ห์เจ้า มีหรือที่ข้าจะยื่นมือเข้าไปช่วย ทั้งที่รู้ว่าในภายภาคหน้าอาจมีเรื่องยุ่งยากตามมาไม่จบสิ้น”
หญิงสาวสะดุดใจในถ้อยคำของเขา
“ผู้น้อยเป็นเพียงสตรีบอบบาง หวังพึ่งต้นไม้ใหญ่เยี่ยงท่านแม่ทัพ อาศัยหลบฝน หลบแดด ไฉนจะกล้าสร้างความรำคาญใจ”
“ฮ่าๆๆ กล่าวได้ดี เจ้าเป็นสตรีซึ่งมีความคิดความอ่านหาได้ยากยิ่ง เช่นนี้ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้า”
คำถามนั้นสร้างความปั่นป่วนในใจของซูกุ้ยฟาง ในหัวตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้เขาพานางขึ้นเตียง และมอบบุตรหัวปีท้ายปีเข้าไปอยู่ในเรือนกายสวยงามนี้
“แม่ทัพหยาง สตรีต่ำต้อยที่ถูกบิดาผลักไสออกจากเรือนมาเป็นของกำนัล และโชคร้ายกลายไปเป็นสินค้าในตลาดด้วยราคาเทียบเท่าบ๊ะจ่างหนึ่งลูก ท่านยังจะสนใจเหลียวแลหรือไม่”
หยางอี้คังพิศใบหน้าของซูกุ้ยฟาง มิใช่เพียงความงามที่นางมี สตรีผู้นี้ยังเฉลียวฉลาด ช่างเอาอกเอาใจ และแฝงความเจ้าเล่ห์อยู่หลายส่วน
“กุ้ยฟาง อย่าได้กล่าวดูถูกตน”
เอ่ยจบแม่ทัพหยางก็ประคองซูกุ้ยฟาง พาหญิงสาวออกไปสูดอากาศที่ระเบียงด้านนอก
