บทที่ 8 บ๊ะจ่างแสนอร่อย
“ถ้างั้นตอนบ่ายเจอกัน” ลายสิงห์บอกหญิงสาว และป้าแม่บ้านชงกาแฟให้เขาเสร็จพอดี
ลายสิงห์หยิบถ้วยกาแฟขึ้น เขาดื่มรวดเร็วหมดแก้ว จนทั้งศรีและแสนเสน่ห์ต้องอึ้ง
“อุ๊ยๆ ระวัง หน่อยซีพ่อคุณ เดี๋ยวได้ลวกปากพอดี”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ร้อนนิดหน่อยผมทนได้ อีกอย่างน้องเขาคงอึดอัดที่ผมอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยตรงไปตรงมา คนที่นั่งเงียบอยู่เลยหน้าบึ้งตึงทันควัน
“อยากนั่งก็นั่งไปสิคะ แสนจะกลับออฟฟิศแล้ว”
หญิงสาวเอ่ยจบจึงลุกขึ้นยืน แต่ไม่รู้ยืนอีท่าไหนถึงได้สะดุดขาตัวเอง และเป็นจังหวะนั้นที่มือใหญ่คว้าร่างเพรียวไปอยู่ในอ้อมอกแกร่ง
“โอ๊ะ...ผะ ผมขอโทษ เห็นคุณจะล้ม”
ใช่ ภาพเมื่อครู่คือหล่อนเกือบล้มหน้าคะมำลงบนพื้นด้วยความเซ่อซ่า แต่เขาก็ไม่ควรคว้าตัวหล่อนไปแนบชิดเรือนกายแกร่งที่ส่งกระไอร้อนออกมาให้สัมผัสจนรู้สึกหวามใจ
“แล้วจะปล่อยได้หรือยังคะ” แสนเสน่ห์ส่งเสียงสูงใส่เขา
เมื่อลายสิงห์ปล่อยให้คนหน้าบูดเป็นอิสระ กลับกลายเป็นเรื่องชวนให้ฉงน หัวใจของแสนเสน่ห์กลับกระตุกไหวในจังหวะที่ทำให้ใบหน้าหวานแดงซ่านและร้อนผะผ่าว ความรู้สึกเช่นนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน แม้แต่กับมาติน ผู้ชายที่หล่อนอยากตีหัวแล้วลากเข้าป่าละเมาะ!
เมื่อไปถึงบ้านของมาติน ซึ่งสถานที่แห่งนั้นควรถูกเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะเหมาะสม แสนเสน่ห์ก็นั่งรอเอกสารอยู่นานเกือบสามสิบนาที กระทั่งลายสิงห์เดินเข้ามาและบอกว่ามีบ๊ะจ่างมาฝาก แต่ลืมเอาให้หล่อนตอนอยู่ออฟฟิศ
“ขอบคุณค่ะ แต่แสนยังไม่หิว”
ลายสิงห์ไม่ได้เซ้าซี้อะไร ก่อนขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ เพราะมีสายเรียกเข้ามาพอดี ระหว่างนั่งรอเอกสารจากมาติน สายตาของหญิงสาวก็หันไปมองถุงกระดาษที่ด้านในมีบ๊ะจ่างจากร้านดัง
แสนเสน่ห์สะดุดรูปวาดผู้หญิงในชุดจีน ดูแล้วเหมือนถูกดึงดูดด้วยมนตร์สะกดลึกลับ กระทั่งหล่อนได้สติจึงเกิดความครั่นคร้ามใจ แวบหนึ่งเกิดภาพประหลาดในหัว ประหนึ่งว่าหญิงสาวเป็นแม่นางซูกุ้ยฟาง เจ้าของเรื่องราวที่อยู่ข้างถุงกระดาษ
“บ้าบอ สงสัยหมู่นี้จะอ่านนิยายท่านแม่ทัพและจิ้นการอุ่นเตียงหนักเกินไป” แสนเสน่ห์เอ่ยแล้วจึงยิ้มน้อยๆ พร้อมเปิดถุงกระดาษ หล่อนเห็นว่ามีบ๊ะจ่างที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจหลายชิ้น
“อร่อยนะครับ ผมซื้อฝากคุณแม่ประจำเลย” เสียงลายสิงห์ลอยมาเข้าหูในตอนที่อารมณ์แสนเสน่ห์เบื่อหน่ายกับการรอคอยอย่างที่สุด
“แต่มันดูไม่คลีนเลยนะคะ แสนไม่อยากอ้วน”
ชายหนุ่มมองหน้าหล่อน แววตาคมๆ มีประกายวิบวับอย่างหาดูได้ยาก
“อย่างคุณถึงจะอวบขึ้นอีกสักสิบกิโลก็ยังน่ารัก”
ใบหน้าหญิงสาวร้อนผะผ่าว แม้เขาไม่ใช่ผู้ชายที่หมายตา แต่ความเป็นสุภาพบุรุษและยังคอยเทคแคร์หล่อนตลอด แถมยังเป็นกำลังใจห่างๆ ตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่ พาให้หัวใจสาวโสดกระตุกไหว
“บ้าบอ ชมผู้หญิงที่ไม่ใช่แฟนแบบนี้ได้เหรอคุณสิงห์”
“ได้สิครับ แสนเป็นคนน่ารักนี่นา”
“ไม่เอาละค่ะ ยังไงแสนไม่หลงกลกินบ๊ะจ่างของคุณแน่ๆ เดี๋ยวเก็บเอาไว้ให้ป้าศรีกับพี่ๆ ที่ออฟฟิศดีกว่า”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหัวคิ้วเข้มๆ ของลายสิงห์จึงขมวดเข้าหากัน และเขาอดถามหล่อนไม่ได้
“หรือบ๊ะจ่างของผมสู้ขนมฝรั่งราคาแพงๆ ไม่ได้ครับ แสนถึงไม่อยากลองชิม” ชายหนุ่มถามพลางมองไปที่กล่องขนมซึ่งแม่บ้านเอามามอบให้ อีกฝ่ายบอกว่ามาตินฝากไปให้พนักงานที่ออฟฟิศแบ่งกันกิน รวมถึงหล่อนด้วย
“คิดมากไปได้นะคะ เพียงแต่ช่วงนี้แสนอยากกินอะไรตามใจปากก็เท่านั้น” หล่อนเอ่ยออกไปตรงๆ อย่างใจคิด เหมือนเป็นการตัดโอกาสเขา ไม่ใช่เพราะหล่อนหวังสูงอยากเป็นผู้หญิงของมาติน เพียงแต่คนขับรถที่งานหนักพอๆ กับหล่อน ในอนาคตต้องขยันอีกสักเท่าไหร่ถึงจะลืมตาอ้าปากได้
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนนะครับ เชิญแสนตามสบาย” เขาเอ่ยแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้แสนเสน่ห์คิดวุ่นวายใจไปต่างๆ นานา
กระทั่งหล่อนรู้สึกหิวนั่นแหละ จึงอยากหาอะไรรองท้อง แต่ขนมโก้หรูของมาตินไม่อาจแกะกินได้ ส่วนบ๊ะจ่างถึงไม่ค่อยปลื้ม แต่สุดท้ายหญิงสาวทนความหิวไม่ไหวจึงแกะห่อใบไผ่ออก ด้านในเป็นบ๊ะจ่างที่หอมชวนให้รับประทาน และเป็นแนวไส้เยอะจนทะลักตามสมัยนิยม
แสนเสน่ห์เลือกหยิบกินถั่วและเม็ดแปะก๊วย พอเอาเข้าปากหล่อนจึงยิ้มออก มันอร่อยถูกปากทีเดียว พอได้กินคำแรกหล่อนก็เริ่มกินต่อเนื่อง จากนั้นเลยสนุกในการกินจนบ๊ะจ่างหมดไปเกือบครึ่งลูก
หญิงสาวหัวเราะออกมาน้อยๆ นึกขำตัวเองที่ตอนแรกปฏิเสธของฝากจากลายสิงห์ ในตอนนั้นสายตาหล่อนพลันเหลือบไปมองที่ถุงกระดาษซึ่งมีประวัติความเป็นมาของเจ้าตำรับบ๊ะจ่างยี่ห้อนี้
“ซูกุ้ยฟาง...” หล่อนเพิ่งพินิจแล้วอ่านประวัติของหญิงงาม ซึ่งมันน่าสนใจทีเดียว สตรีนามว่า ซูกุ้ยฟาง นางคือลูกสาวคหบดีจากเมืองหลวง ถูกบิดาบังคับให้ไปเป็นของกำนัลแทนพี่ชาย ณ เมืองไคหนาน ก่อนที่จะได้แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลช่วยเหลือไว้ ในปีแรกที่แต่งเข้าสกุลหยางอย่างเงียบๆ นางให้กำเนิดบุตรหัวปี และในปลายปีเดียวกันก็คลอดลูกชายอีกคนสร้างความปลาบปลื้มใจให้แก่สามียิ่งนัก
