บทที่ 2

เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมน่าจะได้เป็นคนยืนอยู่ใต้แสงไฟนั่น

ไม่ใช่มาคอยตะโกนสั่งซ้อมอยู่ข้างสนาม ไม่ใช่มาเดินถือคลิปบอร์ดเหมือนพวกเจ้าหน้าที่ธุรการบ้าบอ

ไม่เลย ผมถูกสร้างมาเพื่อสนาม เพื่อความกดดัน เพื่อความโกลาหล

ผมทำได้แล้ว—ได้เป็นควอเตอร์แบ็กตัวจริง อยู่บนจุดสูงสุดของเกม ใช้ชีวิตในฝันเรียบร้อยแล้ว—จนกระทั่งอุบัติเหตุทางรถยนต์พรากทุกอย่างไป

เอ็นไขว้หน้า เอ็นเข่าด้านใน กระดูกอ่อน... ฉีกขาดในไม่กี่วินาที

พวกเขาบอกว่าเป็นการบาดเจ็บที่หายได้ ผมรู้ดีกว่านั้น

สิ่งที่พวกเขาหมายถึงจริงๆ ก็คือ: ผมจบสิ้นแล้ว

หลังจากนั้น โลกของผมก็หดเล็กลง เสียงอื้ออึงจางหาย ไม่มีสนามแข่ง ไม่มีฝูงชนอีกต่อไป มีแค่การกายภาพบำบัด ความโดดเดี่ยว และความหิวกระหายอันเงียบเชียบแต่แหลมคมที่อยากจะ มีความหมาย ที่ไหนสักแห่ง

ความหิวกระหายนั้นนำผมมาที่นี่

การเป็นโค้ชไม่เคยอยู่ในแผน แต่ผมก็สร้างบางสิ่งขึ้นมาจากซากปรักหักพัง ผมเก่งกาจในเรื่องนี้อย่างร้ายกาจ และตอนนี้ พวกเขาก็ดึงตัวผมมาเพื่อทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำได้มาตลอดสิบปี นั่นคือ: พาทีมวูล์ฟส์ไปสู่แชมป์เปี้ยนชิพ

พวกเขาต้องการการสร้างทีมใหม่ วินัย หรือแม้แต่ความกลัว ถ้าจำเป็น

และผมก็ใช้เวลาหลายเดือนเตรียมพร้อมที่จะมอบสิ่งนั้นให้พวกเขา

ทุกชื่อในรายชื่อผู้เล่นช่วงซัมเมอร์นี้ถูกคัดเลือกมากับมือ แต่มีอยู่ชื่อหนึ่งที่ผมต่อสู้เพื่อให้ได้มามากกว่าใคร

โนอาห์ เบลค

ไร้วินัย หยิ่งยโส ดิบเถื่อนเกินไป

แต่มีพรสวรรค์—พรสวรรค์แบบ เหลือเชื่อ เขามีสัญชาตญาณ แรงผลักดัน และไฟในตัว ทุกสิ่งที่สอนกันไม่ได้ และภายใต้ความท้าทายทั้งหมดนั้นยังมีบางสิ่งที่ดียิ่งกว่า: ผู้เล่นที่ผมสามารถปั้นให้เป็นอาวุธได้

ถ้าผมสามารถทำลายเขาให้ย่อยยับเสียก่อน

นั่นคือแผนของผมสำหรับวันนี้ ซ้อมตามตาราง ทดสอบผู้เล่นใหม่ เริ่มสร้างกำแพงขึ้นมา

แต่ทว่า…

ในหัวผมยังคงติดอยู่กับเรื่องเมื่อคืน

ผมไม่ควรจะเปิดโอเบย์เน็ตเลย ไม่ใช่ในช่วงเข้าแคมป์ ไม่ใช่ตอนที่ตารางงานผมแน่นเอี้ยดอยู่แล้ว แต่มีบางอย่างผลักดันให้ผมเข้าไป ความต้องการ ส่วนหนึ่งของตัวเองที่ผมขังเอาไว้—ซ่อนเร้นจากโลกที่นับถือผู้ชายจากการชนะเกม ไม่ใช่จากการโหยหาอำนาจในความมืด

มันควรจะเป็นแค่ทางระบายง่ายๆ การควบคุม การปลดปล่อย

แต่แล้ว เขา ก็ส่งข้อความมาหาผม

นิรนาม ดื้อรั้น หยิ่งยโสเป็นบ้า

แต่ภายใต้ท่าทีอวดดีทั้งหมดนั่น... มีบางอย่างที่ปริร้าว

เขาโกรธ ตั้งป้อมป้องกันตัว กลัวว่าตัวเองจะชอบสิ่งที่ผมหยิบยื่นให้มากแค่ไหน แต่เขาก็ตอบกลับมาเรื่อยๆ และตอนที่เขาบอกว่าผมไม่รู้จักเขา ตอนที่เขาอ้างว่าเป็นชายแท้ ส่งข้อความเหล่านั้นมาราวกับกระสุนปืนเหมือนพยายามจะวิ่งหนีตัวเอง—ผมก็รู้ว่าผมได้ตัวเขามาแล้ว

เบบี้บอย คนใหม่ของผม

แล้วแค่นั้น... เขาก็หายไปเลย

แต่รสชาตินั้นยังคงติดตรึง

และเมื่อผมก้าวลงสนามเมื่อเช้านี้ ผมไม่ได้คิดถึงพลวัตของทีมหรือกลยุทธ์การเล่นเกมเลย

ผมกำลังคิดถึงเรื่องการควบคุม

และนั่นคือตอนที่ผมเห็นเขา—ควอเตอร์แบ็กคนใหม่แกะกล่องของผม

สูง อกผาย กล้ามเนื้อตึงแน่นอยู่ใต้เสื้อโปโลของทีม ดวงตาคมกริบพอที่จะบาดลึกได้

เขามองผมเหมือนเห็นผี ก่อนจะเบนสายตาหนี จิตใจล่องลอยไปที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด เหม่อลอยไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ผมไม่ลังเลเลย ใช้เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างเรียกเขามาพบที่ห้องทำงานหลังซ้อม

มันมีบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา—แววตาเหมือนถูกล่า หรืออาจจะเป็นความรู้สึกที่เหมือนเขากำลังท้าทายให้ผมขุดลึกลงไปอีก ผมคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเขาจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม... และถ้าผมโชคดี ก็อาจจะเป็นความท้าทายที่น่าพึงพอใจที่สุดด้วย

การฝึกซ้อมเริ่มขึ้นหลังพักเบรกสั้นๆ

สายตาผมจับจ้องไปที่เขาทันที

ไปยังผมสีบลอนด์อาบแดดที่เปียกลู่แนบไปกับบ่าผิวสีแทนขณะที่เขาวิ่งเหยาะๆ มาทางพวกเรา ในมือถือผ้าขนหนู—

และมาสาย

เขาเข้าร่วมแถวสิบสองวินาทีหลังจากที่ผมเป่านกหวีด นานพอที่จะทำให้ผมหงุดหงิด แต่ก็สั้นพอที่การเรียกมาตักเตือนจะดูเป็นเรื่องหยุมหยิม

แต่ผมสังเกตเห็น

เขามีท่าทีแบบนั้น—ท่าทีที่ผู้เล่นทำเมื่อพวกเขาพยายามอย่างหนักที่จะดูเหมือนว่าไม่สนห่าอะไร

แขนผ่อนคลาย ไหล่ปล่อยสบาย ประดับรอยยิ้มเยาะจอมปลอม แต่กรามของเขาขบแน่น ดวงตาของเขาชำเลืองมองมาที่ผมแล้วก็เบนหนี เหมือนว่าผมทำให้เขาประหม่า และเขาไม่อยากให้ผมเห็น

น่าสนใจ

ท่วงท่าเขายังดีอยู่ แต่จังหวะของเขาผิดไปนิดหน่อย ช้าตอนตั้งท่าง้างแขน ตอบสนองช้าต่อการส่งลูก ต่อแรงกดดัน ต่อเสียงของผม

ไม่ใช่ว่าขี้เกียจ

แค่ยังไม่มีสมาธิ

และนั่นทำให้ผมหงุดหงิดเกินกว่าที่ควรจะเป็น

ผมเคยเห็นแล้วว่าเด็กคนนี้ทำอะไรได้บ้างในเทป เขาเร็ว เป็นธรรมชาติ เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำ

แต่เขาในเวอร์ชันนี้?

ไอ้สภาพเหม่อลอย ลังเล สับสนนี่น่ะหรือ?

ผมไม่ยอมทนกับเรื่องแบบนั้นแน่

ถ้าผมจะไว้ใจให้เขาคุมเกมบุกของผม เขาก็ต้องรีบไสหัวขึ้นมา

และเขาก็จะต้องทำ

ผมจะทำให้มันเป็นอย่างนั้นเอง

ผมจดจ่ออยู่กับลูกทีมคนอื่นๆ ตลอดการซ้อมรอบสุดท้าย แต่ทุกครั้งที่เขาขยับ ผมรับรู้ได้ทุกการเคลื่อนไหว ทุกสายตาที่ชำเลืองมอง ทุกอาการสะดุ้ง ทุกโอกาสที่พลาดไปในการคุมเกมในสนามอย่างที่ผมรู้ว่าเขาทำได้

เขาฟอร์มตก แต่ยิ่งไปกว่านั้น... เขากำลังกั๊กฝีมือไว้

และผมจะต้องรู้ให้ได้ว่าทำไม

เมื่อการฝึกซ้อมสิ้นสุดลง ผมคว้าขวดน้ำ ตรวจดูบันทึกของตัวเอง แล้วมุ่งหน้าไปยังอาคาร

ผมไม่จำเป็นต้องเรียกเขา

เขารู้อยู่แล้วว่าต้องไปหาผมที่ไหน

ผมมานั่งหลังโต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้วตอนที่เขาเดินเข้ามา

ไม่มีการเคาะประตู ไม่มีการขอโทษ มีแต่ท่าทางกร่างๆ—ไหล่เกร็ง ดวงตาราบเรียบอย่างจงใจ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้เพิ่งทำพังไปครึ่งหนึ่งของการซ้อมในวันนี้

เขายืนตัวตรงเกินปกติ เหมือนพยายามชดเชยอะไรบางอย่าง เขาไม่พูดอะไร ดีแล้ว

ผมปล่อยให้ความเงียบทำงานไปพลาง สังเกตเขาอยู่สองสามวินาทีจนกระทั่งเขาเริ่มอึดอัด พวกนั้นเตือนผมแล้วแน่ๆ ว่าเขาคือตัวปัญหา—เขาดูเหมือนตัวปัญหาจริงๆ

แต่เขาก็ดูมีแววเป็นดาวเด่นฉิบหาย ถ้าผมลากหัวเขาออกมาจากความงี่เง่านั่นได้

“ปิดประตู” ผมสั่ง

เขาทำตาม

“นั่ง”

เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมด้วยท่าทีสบายๆ ที่ผมไม่เชื่อเลยสักนิด

ผมยังคงจ้องมองสำรวจเขาก่อนจะเอ่ยปาก

“ในแฟ้มประวัติบอกว่าคุณจริงจังกับโปรแกรมนี้ จริงจังเรื่องชัยชนะ”

เขาไม่ตอบ

ผมประสานมือไว้บนโต๊ะ ใจเย็น เยือกเย็น

“ถ้างั้นช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยว่าทำไมคุณถึงมาซ้อมสาย พลาดสัญญาณตอนวอร์มอัพไปสามครั้ง ฟอร์มตกทุกการซ้อม แต่ยังเดินกร่างไปทั่วเหมือนกับว่าได้แหวนแชมป์มาครองแล้ว”

ขากรรไกรของเขาเกร็งขึ้น

ผมโน้มตัวไปข้างหน้า

“ถ้าคิดว่านี่คือความพยายามสุดตัวของคุณแล้ว ก็พูดมาตอนนี้เลย ผมสาบานว่าจะจับคุณยัดขึ้นเครื่องเที่ยวแรกกลับเวสต์เวอร์จิเนียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและมาเจอเรื่องบ้าๆ บอๆ กันอีก”

นั่นได้ผล

เขาโน้มตัวเข้ามาบ้าง ดวงตาเป็นประกายวาววับ “จริงเหรอ?”

น้ำเสียงของเขามีความก้าวร้าว—เป็นการต่อต้านอย่างจริงจังครั้งแรกของวัน

ผมไม่กะพริบตา

“คุณขู่ผมไม่ได้หรอก โค้ช เราต่างก็รู้ว่าคุณต้องการผม” เขาพูดต่อ ริมฝีปากบิดเบี้ยวด้วยบางสิ่งที่ขมขื่นเกินกว่าจะเป็นรอยยิ้ม “แล้วผมก็เคยทำงานกับพวกโหดหินมาก่อน—”

“แต่แกยังไม่เคยร่วมงานกับฉัน” ผมตัดบทด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าเคย แกจะรู้ว่าฉันมีอำนาจที่จะปั้นแก—เปลี่ยนแกให้กลายเป็นดาวดัง—หรือจะขยี้แกให้แหลกและจบอาชีพของแกตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลยก็ได้”

หน้าผมอยู่ห่างจากหน้าเขาไม่กี่นิ้ว

“แล้วจะเอายังไงล่ะ คุณเบลค แกพร้อมจะท้าทายฉันแล้วเหรอ?”

“ว้าว ตอนนี้มาขู่กันแล้วเหรอ? นึกว่าคุณจะรับมือผมไหวซะอีก!” เขาสวนกลับมา

ท้องผมมวนปั่นป่วน

ลมหายใจผมสะดุด

ผมเงยหน้าขึ้นทันควัน

“เมื่อกี๊แกพูดว่าอะไรนะ?”

ดวงตาของเขาหลุกหลิก ไหล่แข็งทื่อ

“ผมบอกว่า...” เขาไอกระแอม ท่าทีเปลี่ยนเป็นตั้งรับ “คุณเป็นคนดึงผมมาที่นี่ไม่ใช่เหรอ? แล้วจะยอมแพ้แล้วหรือไง?”

ผมจ้องเขม็ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอีกครั้ง

แต่ข้างในน่ะเหรอ?

มีบางอย่างปริร้าว

เป็นไปไม่ได้

ไม่มีทาง

ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ไอ้เด็กนี่

น้ำเสียงผมลดต่ำลง เย็นเยียบกว่าเดิม พูดช้าลงทีละคำ

“แกคิดว่าฉันรับมือไอ้เด็กอวดดี ไม่มั่นใจในตัวเอง และมีปมอย่างแกไม่ได้งั้นเหรอ?”

ผมลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะไป มองเขาที่จับจ้องตามผมทุกฝีก้าวขณะที่ผมเคลื่อนไปอยู่หลังเก้าอี้ของเขา

ต้นคอของเขาแดงก่ำ

เขาไม่หันกลับมา

“แกพูดเหมือนตัวเองเป็นคนคุมเกม—” ผมพูดเบาๆ “แต่ลึกๆ ข้างในแล้วแกกำลังกลัวจนตัวสั่น”

เขาตัวแข็งทื่อ

“คุณไม่รู้จักผมหรอก” เขาพึมพำ “คุณไม่รู้อะไรเลย เมอร์เซอร์”

ผมหยุดเดิน

โน้มตัวเข้าไปใกล้พอที่จะรู้สึกได้ว่าเขานิ่งงันไปทั้งตัว

“ต้องเป็นโค้ชเมอร์เซอร์” ผมพูดอย่างนุ่มนวล

เซอร์... สำหรับแก”

เขาไม่ขยับ

ไม่พูดอะไร

ผมรอ

หนึ่งลมหายใจ สอง

แล้วเสียงที่ตึงเครียดและแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินก็ดังขึ้น

“ค-ครับ, เซอร์”

หูของเขาแดงก่ำ

สองมือกำแน่นเป็นหมัด

เขาพยายามจะเก็บอาการ แต่ร่างกายกลับทรยศ—ความตึงเครียดที่หัวไหล่ ลมหายใจหอบสั้น และประกายวูบไหวในดวงตาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความโกรธกับความปรารถนา

ผมเฝ้ามองทั้งหมดนั่น—เฝ้ามองเขาอย่างละเอียด

ความอยากรู้อยากเห็นของผมกำลังนำพาตัวเองไปสู่เขตแดนที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง

“ฉันคาดหวังการเชื่อฟังทุกครั้งที่ออกคำสั่ง ห้ามลังเล เข้าใจไหม?” ผมปรับน้ำเสียงให้นุ่มลง—แค่นิดหน่อยพอ

เขาพยักหน้า

“ครับ, เซอร์”

ผมกลืนน้ำลาย

มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นแบบเดียวกับที่ผมรู้สึกเมื่อคืนก่อน—

ความรู้สึกเสียวซ่านที่แสนหอมหวาน น้ำเสียงยียวน ท่าทีท้าทายที่แฝงอยู่ใต้ลมหายใจ

ไม่

เป็นไปไม่ได้

ผมไม่เคยได้ยินเสียงของเด็กคนนั้นทางออนไลน์

แต่บางอย่างในตัวโนอาห์...

ความตึงเครียด ท่าทีท้าทาย ไฟในตัว—

มันรู้สึก... คุ้นเคย... อย่างประหลาด

ผมยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง มองเขาเดินออกจากห้องทำงานไปราวกับว่าเขาไม่ได้เพิ่งมาสับสวิตช์บางอย่างในตัวผม

และผมก็รู้—

ถ้าผมไม่ระวังให้ดี เรื่องนี้อาจกลายเป็นเกมที่อันตรายมาก

บทก่อนหน้า
บทถัดไป