บทที่ 7
เอเดน
อย่าเข้าใจผิดไป ผมไม่ใช่พวกซาดิสม์
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในแบบที่คนอื่นคิด
ทุกอย่างที่ผมทำเมื่อเช้า ทั้งการฝึก การจับเวลา คำสั่งสารพัด ไม่ใช่เพื่อควบคุมเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของเขา
โนอาห์ เบลค
ไอ้หนุ่มมือใหม่ที่ไฟแรงเกินไปและไม่รู้จะไประบายที่ไหน
เขาทำตามทุกคำสั่งเหมือนกับว่าการเชื่อฟังทำให้เขาหัวเสีย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำ... ขบกรามแน่น กล้ามเนื้อสั่นระริก ดวงตาเป็นประกายวาววับทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้เกินไป
เป็นการต่อต้านที่ยั่วให้อยากทำลายให้สิ้นซาก
ผมบอกตัวเองว่านี่คือการโค้ช การฝึก การวางโครงสร้าง
แต่การได้มองเขาเคลื่อนไหว... มองเขายอมจำนนทีละเล็กทีละน้อยอย่างไม่เต็มใจ... มันไม่รู้สึกเหมือนกำลังทำงานเลยสักนิด
“ค้างไว้” ผมพูดพลางเดินวนไปด้านหลังขณะที่เขาเกร็งตัวทำท่าแพลงก์ “สามสิบวินาที”
เขาส่งเสียงในลำคอ เหงื่อหยดลงบนเบาะ
ผมย่อตัวลงข้างๆ ใกล้พอที่จะรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่สะดุดของเขา
“ถ้ายอมแพ้ ก็เริ่มใหม่ทั้งหมด”
น้ำเสียงเขาห้วนจัด “งั้นก็รีบนับสิโค้ช”
ไอ้เด็กอวดดี
แต่ผมก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นอาการสั่นเบาๆ ที่แขนของเขา หรือแวบความร้อนรุ่มที่ฉายขึ้นมาตอนที่ผมพูดว่า “นายทำได้ดีกว่านี้ เบลค กำหนดลมหายใจไว้”
เขาทำ
เขามักจะทำเสมอ
พอเสียงนาฬิกาดังขึ้น เขาก็ทิ้งตัวลงไปกองกับพื้น หน้าอกหอบสะท้อน เสื้อยืดแนบติดกับแผ่นหลัง เหงื่อไหลเป็นทางลงมาตามแนวกระดูกสันหลัง คอผมแห้งผากก่อนจะบังคับตัวเองให้ละสายตาไปทางอื่น
“ดี” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าที่ตั้งใจ “ไปเจอกันที่ห้องประชุมในอีกยี่สิบนาที นายมีสรุปที่ต้องเตรียม”
เขามองขึ้นมา “ยังเป็นผู้ช่วยของคุณอยู่สินะ?”
“จนกว่าฉันจะสั่งเป็นอย่างอื่น”
รอยยิ้มมุมปากของเขารวดเร็วและน่าโมโห “ครับผม”
คำนั้นกระแทกเข้ามาเหมือนหมัด
ไม่ใช่การเยาะเย้ยในครั้งนี้... ครึ่งหนึ่งเป็นสัญชาตญาณ อีกครึ่งเป็นอย่างอื่น
ผมหันหลังกลับก่อนที่จะเผลอแสดงสีหน้าออกไป
ช่วงเวลาที่เหลือของวันเป็นเรื่องที่เสแสร้งได้ง่ายกว่า
ผมมอบหมายงานให้เขา ทดสอบสมาธิ สั่งให้เขาท่องบันทึกการฟื้นฟูร่างกายจนกว่าจะเลิกพูดติดอ่าง ทุกครั้งที่เขาทำอะไรถูก ผมอยากจะบอกเขาว่า... เด็กดี... แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
เขาสมควรได้รับมัน แต่ผมให้มันไม่ได้
คำชมก็เหมือนสายจูง และผมยังไม่พร้อมที่จะกระตุกมันให้ตึง
พอตกเย็น เขาก็เงียบลง
ว่านอนสอนง่าย ทำงานได้คล่องแคล่ว
และมันไม่ควรจะทำให้ผมภูมิใจเลย แต่ผมก็รู้สึก
ตอนที่เขาเดินออกจากห้องทำงานของผม เขาลังเลอยู่ที่ประตูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้พูด
“หูฟัง” เขาพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “ลืมไว้ที่ยิม”
ผมแค่พยักหน้า “งั้นก็ไปเอาสิ”
เขาไป
และเรื่องมันก็ควรจะจบลงแค่นั้น
ผมอยู่ต่อหลังอาหารเย็น ฝึกซ้อมคนเดียวใต้เสียงครางแผ่วๆ ของหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์
ยิมว่างเปล่า อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นยางและเหงื่อที่ฉุนขึ้นจมูก
ทุกครั้งที่ยกมันแผดเผา ทุกเซ็ตย้ำเตือนถึงสิ่งที่ผมสูญเสียไป... หัวเข่า ความเร็ว อาชีพที่จบลงเร็วเกินไป
แต่ภาพที่คอยแทรกเข้ามาในความคิดกลับไม่ใช่เรื่องในอดีต
แต่เป็นเขา
โนอาห์... ที่พับแขนเสื้อขึ้น ริมฝีปากเผยอ ร่างกายเกร็งแน่นภายใต้คำสั่ง
แววตาที่เขามองผมเมื่อเช้า ตอนที่คำว่า ‘ครับผม’ หลุดจากปากเขา
ท้าทาย ใคร่รู้ ปรารถนา
ผมพยายามสลัดมันทิ้ง จดจ่ออยู่กับแรงดึงของสายเคเบิล เสียงเสียดสีของกล้ามเนื้อและโลหะ แต่พอถึงเซ็ตที่ห้า ความคิดของผมก็เตลิดไปสู่ที่ที่มืดมนกว่านั้นแล้ว
ผมบอกตัวเองว่ามันคือการปลดปล่อย
คือการผ่อนคลาย
แต่เมื่อผมเข้าไปในห้องอาบน้ำ คำโกหกนั้นก็พังทลายลง
น้ำร้อนไหลรินลงบนบ่า และทั้งหมดที่ผมเห็นคือริมฝีปากของเขา... ลำคอที่แดงก่ำ... อาการสั่นที่แขนตอนที่ผมสั่งให้เขาค้างท่าไว้
มือของผมกำแน่นขึ้น
จังหวะการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและจงใจ
การควบคุม แม้แต่ในที่แห่งนี้
โดยเฉพาะในที่แห่งนี้
“หายใจ” ผมพึมพำใต้สายน้ำ “แค่หายใจเข้าไว้”
ตอนแรกผมไม่ได้ยินเสียงประตู
แล้ว... เสียงฝีเท้าแผ่วเบา ที่ลังเล
ความเคลื่อนไหวจางๆ ของอากาศ
มีคนอยู่ที่นั่น
ผมหันไปเล็กน้อย สายน้ำกลบทุกเสียงยกเว้นเสียงหัวใจของตัวเอง... และเสียงสูดลมหายใจแผ่วเบาที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
โนอาห์
ที่แท้เขายังไม่ได้ไปไหน
และเมื่อสายตาของเราสบกันผ่านม่านไอน้ำ โลกทั้งใบก็พลันหยุดนิ่ง
