บทที่ 1: มองห่างจากคุณ

ถ้าเพื่อนสนิทของกูเดินมาบอกว่ามันเป็นเกย์...กูก็คงโอเคกับเรื่องนั้นนะ เผลอๆ อาจจะสนับสนุนมันด้วยซ้ำ...ถึงแม้ว่าการเห็นเพื่อนตัวเองอยู่กับ 'แฟนหนุ่ม' ของมันในที่สาธารณะอาจจะยังทำให้กูรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง และมันอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของกูกับมันตึงๆ ไปเลยก็ได้ ไม่ว่ากูจะพยายามทำตัวหัวก้าวหน้าแค่ไหนหรือโลกมันจะเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ก็ตาม

กูเชื่อมั่นในความเชื่อของตัวเองมาตลอด กูเชื่อมาตลอดว่ากูถูกสร้างมาให้เป็นอย่างที่กูเป็น และกูก็รู้ดีว่าตัวเองชอบใคร

เชื่อกูดิ กูก็ไม่ได้มีอะไรกับกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน คนรักสองเพศ คนข้ามเพศ และอื่นๆ เลยนะ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มายุ่งอะไรกับกู กูเคยเห็นผู้ชายจูบกับผู้ชาย เคยเห็นผู้หญิงนัวเนียกันในคลับ มันเป็นภาพที่น่าดูชมเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่เห็นผู้หญิงโคตรฮอตสองคนจูบกันในคลับ มันแอบทำให้กูอยากเข้าไปร่วมวงด้วยซ้ำ

แต่การมานั่งดูผู้ชายสองคนจูบกันแบบที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้น่ะเหรอ? ดูพวกเขาลูบไล้สำรวจกันน่ะเหรอ? มันไม่เคยใช่ทางของกูเลยว่ะ อาจจะเพราะมันทำให้กูรู้สึกอึดอัดแปลกๆ มั้ง?

มันก็จะมีพวกที่เกลียดชังและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และก็จะมีคนอย่างกู ที่โตมากับการได้ยินว่า 'ผู้ชายห้ามร้องไห้' และ 'ลูกผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ' และรับรู้มาตลอดว่านั่นคือส่วนหนึ่งของ 'ความปกติ' ในสังคมตั้งแต่วันที่เราลืมตาดูโลก

แต่พวกเขา...ทำไมกัน...?

ทำไมกูถึงละสายตาไปจากเขาไม่ได้?

“เฮ้ย ไค!” โคล เพื่อนซี้ของกูตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ผลักไหล่กูทีหนึ่งหลังจากที่มันล้างมือในอ่างเสร็จ “เลิกจ้องได้แล้ว มันน่าขนลุกว่ะ”

“ห๊ะ?” กว่ากูจะรู้ตัวก็ปาไปพักใหญ่ ว่ากูกำลังจ้องพวกเขาอยู่จริงๆ...จ้องเขาคนนั้น

ประตูห้องน้ำเปิดแง้มอยู่นิดเดียว อาจจะเพราะพวกเขารีบร้อนเข้าไปข้างในจนลืมปิดให้สนิท โดยลืมไปว่าช่องแคบๆ นั่นทำให้ทุกคนข้างนอกสามารถแอบดูสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในได้ แม้จะได้ยินแค่เสียงครางต่ำๆ ก็ตาม

“กูไม่ได้จ้อง” กูโกหกหน้าตาย “พวกนั้นควรจะรู้ตัวหน่อยว่าอยู่ที่ไหน ถ้าไม่อยากให้คนอื่นมา-”

“อ่าห์!”

เสียงทุ้มแหบพร่านั่นทำให้กูชะงักทั้งที่ยังวางมืออยู่ใต้น้ำที่ไหลอยู่ ทำไมมันถึงทำให้กูอยากเห็นหน้าเขากันนะ? ทำไมจู่ๆ กูถึงได้อยากรู้นักว่าเสียงนั้นเป็นของใคร?

“ไปจากที่นี่กันเถอะ” โคลผละออกจากอ่างล้างหน้า หลังจากเช็ดมือกับกระดาษทิชชูเป็นปึก เขาก็โยนมันลงถังขยะแล้วแทบจะวิ่งพรวดออกจากห้องน้ำชายไป

เสียงลำโพงที่ดังกระหึ่มในคลับเล็ดลอดเข้ามาในห้องน้ำชั่วขณะตอนที่ประตูเปิดปิด กลบเสียงครางที่ดังมาจากในห้องน้ำ แต่ไม่นานห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง และเสียงนั้นก็กลับมาดังเต็มกำลัง ดึงความสนใจของกูไปที่พวกเขาอีกครั้ง

เอาจริงๆ...กูก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าเหตุผลที่หัวใจเต้นรัวอยู่ในอกมันเป็นเพราะจังหวะกลองที่สั่นสะเทือนผ่านพื้น หรือเป็นเพราะกูเห็นอะไรมากกว่าแค่เงาๆ ลางๆ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องน้ำกันแน่

“เชี่ย!” กูสบถเมื่อรู้ตัวว่าทำแขนเสื้อเปียกเพราะน้ำที่ไหลอยู่

กูปิดก๊อกน้ำ ถอยออกมาแล้วดึงทิชชูสองสามแผ่นจากที่กดเพื่อเช็ดมือ แต่สายตาก็กลับไปจับจ้องที่ช่องเล็กๆ บนประตูห้องน้ำอีกครั้ง ที่ซึ่งชายสองคนกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม

แต่มาถึงตอนนี้...พวกเขาทำอะไรมากกว่าแค่จูบกันแล้ว

สิ่งแรกที่กูสังเกตเห็นคือดวงตาสีเฮเซลข้างหนึ่งกับกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยุ่เหยิง เขาพิงอยู่กับผนังฝั่งตรงข้าม และมีอยู่แวบหนึ่งที่กูคิดว่าสายตาของเราสบกันในชั่วขณะที่หัวใจแทบหยุดเต้น ก่อนที่กูจะสะบัดตัวเองออกจากภวังค์แล้วพยายามหันไปสนใจอย่างอื่นแทนดวงตาคู่นั้น

แต่มันกลับเป็นไปไม่ได้อย่างน่าประหลาด กูยังคงมองกลับไป แม้จะเห็นเขาหลับตาลงแล้วแหงนหน้าขึ้นตอนที่ชายผมบลอนด์ตรงหน้าเริ่มจูบซอกคอของเขา และเขาก็ยกมือขึ้นไปขยุ้มเส้นผมของชายคนนั้น

มือของเขาก็เป็นอีกอย่างที่กูละสายตาไปไม่ได้ มันไม่ได้เรียบเนียนหรือดูเหมือนผู้หญิงอย่างที่กูคาดไว้ แต่กลับแข็งแรงและเห็นเส้นเลือดปูดโปน ดูเหมือนเขาจะออกกำลังกายหนักน่าดู

แต่คราวนี้กูก็หลุดจากความคิดด้วยเสียงหัวเข็มขัดที่ถูกปลดออกและเสียงโซ่ที่ถูกรูดลง และกูก็รู้ว่าถึงเวลาที่กูต้องไสหัวออกไปจากที่นี่แล้ว เพราะกูไม่ได้เมาพอที่จะใช้เป็นข้ออ้างได้ถ้าโดนจับได้ว่าแอบดู

ทว่า กูกลับหยุดชะงักก่อนจะเดินผ่านห้องน้ำห้องนั้นไป จากมุมนี้กูมองไม่เห็นแล้วว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น แต่กูยังเห็นมือของเขาวางราบอยู่บนผนังห้องน้ำ เขาสวมแหวนเงินดีไซน์ซับซ้อนไว้ที่นิ้วชี้...และถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่กงการอะไรของกูที่ต้องไปอยากรู้ กูก็ยังละสายตาไปจากมือของเขาไม่ได้...จากแหวนวงนั้น...จนกระทั่งกูเอื้อมมือไปปิดประตูห้องน้ำให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ กันไม่ให้คนอื่นได้มาเพลิดเพลินกับการแสดงที่พวกเขากำลังสร้างสรรค์กันอยู่

ผมหยิบมือถือออกจากกระเป๋าเพื่อเช็กดูว่ามีสายที่ไม่ได้รับหรือข้อความเข้าบ้างไหม เพราะผมรู้ว่าโคลกำลังรออยู่ข้างนอกและเขาต้องถามแน่ว่าทำไมผมถึงมาช้า แต่สายเรียกเข้ากับข้อความทั้งหมดที่ผมได้รับล้วนมาจากรูบี้ แฟนเก่าที่เพิ่งเลิกกันไปหมาดๆ ซึ่งยังพยายามจะขอกลับมาคืนดีกับผมทั้งๆ ที่เธอเป็นฝ่ายนอกใจก่อน

ยังไงมันก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว เพราะผมกับรูบี้ไม่เคยคบกันจริงจังและไม่เคยคิดจะจริงจังด้วย เหตุผลเดียวที่เธอโทรมาก็คงเพราะ ‘เหงา’ และอยากให้ผมไปอยู่เป็น ‘เพื่อน’ ให้หายเหงา

นี่เป็นอีกเหตุผลที่ผมพยายามคุมตัวเองไม่ให้ดื่มเยอะ ผมไม่อยากลงเอยด้วยการเผลอโทรไปหารูบี้ตอนเมา แล้วต้องมานั่งเสียใจในตอนเช้าตอนที่เธอพยายามจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อขอกลับมาคืนดีอีกครั้ง

“ช้าจังวะ” น้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นจริงจังของโคลทำให้ผมต้องละสายตาจากหน้าจอขึ้นไปมองเขา “ใครโทรมาวะ”

‘รอดตัวไป’ ผมคิดในใจขณะที่หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบขึ้นพร้อมกับใบหน้าของรูบี้ที่เป็นไอดีผู้โทรเข้า

“ไม่มีอะไร” ผมกดปิดหน้าจอแล้วเก็บมือถือกลับเข้ากระเป๋า แต่ไม่ทันที่โคลจะก้มลงมาเพื่อแอบดูหน้าจอของผม “เลิกเสือกซะที”

“นั่นใช่ผู้หญิงที่มึงคบมาได้สองอาทิตย์กว่าปะ” โคลผิวปากแข่งกับเสียงลำโพงที่ดังกระหึ่มขณะที่เราเดินกลับไปทักทายเพื่อนๆ ที่คลับ “มึงเลิกกับหล่อนไปแล้วไม่ใช่เหรอ อาทิตย์ที่แล้วไง”

“เออ” ผมตอบแค่นั้นขณะที่เรากลับไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่มหา'ลัย

เราสี่คนออกมาฉลองที่สอบไฟนอลของปีสองเสร็จสิ้น และอาจจะเพื่อหิ้วใครสักคนจากคลับกลับบ้านไปด้วย ดูจากทรงแล้ว โจชัวกำลังจะได้แอ้มใครสักคนในไม่ช้า ขณะที่โคล เดวอน และผมนั่งจมอยู่กับเครื่องดื่มและมองเขาจีบสาวอย่างไม่อายฟ้าอายดินอยู่ตรงหน้า

พอผู้หญิงคนนั้นใจอ่อนและเรียกเขาไปหาในที่สุด พวกเราก็รู้เลยว่าคืนนี้สองคนนั้นได้สนุกกันแน่

“เชี่ย!” ผมลุกพรวดจากเก้าอี้ทันทีที่เห็นเวลา “เคอร์ฟิวหอปิดเที่ยงคืน เรามีเวลาสิบห้านาทีกลับไปให้ทัน”

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!” โคลสบถแล้วกระดกเครื่องดื่มแก้วสุดท้ายรวดเดียว “พวกมึง กูต้องไปแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ที่มอ”

“ขับรถดีๆ” เดวอนโบกมือลาพวกเรา “เจอกัน”

“เดี๋ยวนะ...แล้วมึงจะกลับยังไงวะ” ผมถามก่อนที่เราจะออกไป

“ไม่ต้องห่วง” เขาโบกมือปัดๆ แล้วหยิบมือถือออกจากกระเป๋าเพื่อโทรหาใครบางคน “เดี๋ยวกูหาคนไปส่ง”

กว่าผมกับโคลจะมาถึงลานจอดรถ ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราขับรถของเขามา และคืนนี้เราทั้งคู่ก็ดื่มไปไม่น้อยเลย

“เชี่ย...เรียกอูเบอร์ไหม” ผมเสนอ

“ไม่ทันแล้ว” เขาหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋าแล้วโยนมาให้ผม “มึงขับ มึงดื่มเบียร์ไปแค่ขวดเดียว”

“เออ” มันไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัยนัก แต่เราสองคนก็ไม่อยากโดนปรับหรือโดนรายงานโทษฐานกลับหอพักสาย ผมจึงเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยและสตาร์ตรถขับตรงไปยังหอพักทันทีที่เราทั้งคู่คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย

“ทันเว้ย!” ผมบอกโคลในอีกสิบนาทีต่อมา พลางหอบหายใจจนแทบจะเป็นลมเพราะความตื่นตระหนกเมื่อเรามาถึงลานจอดรถของหอพัก และผมเห็นยามแก่ๆ กำลังจะปิดประตูเหล็กบานใหญ่ตามหลังเราเข้ามา

แต่สิ่งที่ทำให้ผมผิดหวังอย่างแรงก็คือ...โคลสลบเหมือดอยู่บนเบาะข้างๆ ผม เขานอนกรนเสียงดังสนั่นในท่าคอพับคออ่อนดูน่าอึดอัด แถมปากก็อ้าหวอ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าเขาน้ำลายไหลยืดอีกต่างหาก

“โธ่เว้ย!” ผมครวญคราง ไม่อยากเป็นคนแบกเขากลับไปที่ห้องพักเลย แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลี่ยง ถ้าผมทิ้งเขาไว้กับยาม ตาแก่คนนั้นต้องรายงานผู้อำนวยการหอพักตอนเช้าแน่ๆ ทั้งเรื่องดื่มแล้วกลับหอสาย และอะไรต่อมิอะไรอีก

ตาแก่เวรนั่นเกลียดขี้หน้าพวกเราจะตาย แต่ก็ยังได้งานเฝ้าหอชายเนี่ยนะ! เขาเกิดมาก็แก่เลยหรือไง หรือว่าตอนเด็กๆ ไม่เคยมีช่วงเวลาสนุกๆ กับเขาบ้างวะ

“เฮ้!” ผมเขย่าตัวเขาอย่างแรง “ตื่น! กูไม่แบกมึงนะเว้ย! ตื่น!”

โคลครางอืออาและพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนจะพยายามปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว ผมถอนหายใจแล้วปลดเข็มขัดให้เขา ก่อนจะลงจากรถแล้วอ้อมไปฝั่งคนนั่งเพื่อช่วยพยุงเขาออกมา

“แม่งเอ๊ย ตัวหนักชิบหาย!” ผมพยายามทรงตัวให้ตรงขณะที่โคลทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่ผม “อย่ามาหลับใส่กูนะเว้ย ไอ้บ้าเอ๊ย!”

“อืมมมมม....” โคลพึมพำอะไรบางอย่างที่ฟังไม่เป็นภาษาอยู่ใต้ลมหายใจ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงกรนของเขาอีกครั้ง

“ไอ้เวรเอ๊ย!” ผมสบถ ล็อกรถของเขาแล้วเก็บกุญแจใส่กระเป๋าตัวเองไว้อย่างดี

ผมพาดแขนของโคลไว้บนบ่าแล้วเดินไปยังล็อบบี้ของหอพัก ลากร่างที่หลับใหลของเขาไปด้วยความยากลำบาก แต่ขณะที่ผมกำลังจะกดปุ่มเรียกลิฟต์เพื่อจะขึ้นไปยังชั้นของเขา...มืออีกข้างก็ชิงตัดหน้าไป กดปุ่มลิฟต์ก่อนผม

“เอ่อ...ขอบคุณครั-” แล้วผมก็สังเกตเห็นแหวนเงินสลักลายบนนิ้วชี้ข้างขวาของเขา...และสายตาของผมก็พลันช้อนขึ้นสบกับดวงตาสีเฮเซลที่กำลังจ้องมองกลับมาจากใบหน้าที่ผมไม่อาจละสายตาไปได้อีก

บทถัดไป