ก้าวไปข้างหน้าเสมอ

เสียงทุบเบาๆ ไม่สม่ำเสมอมาจากห้องเก็บเสบียงแบบวอล์กอิน ตอนแรกผมคิดว่าหูแว่วไปเอง อาจจะเป็นเสียงท่อเก่าๆ ลั่น หรือไม่ก็แรคคูนจรจัดอยู่ข้างนอก เป็นเสียงเคาะแผ่วๆ รัวและสะเปะสะปะ เหมือนคนพยายามจะออกมาแต่กำลังจะหมดแรง ผมตัวแข็งทื่อ แก้วไวน์ยังอยู่ในมือ ดวงตาหรี่ลงขณะที่เสียงนั้นตัดผ่านความเงียบ เลียมคงอยู่แถวๆ บริเวณบ้าน หรืออาจจะเป็นใครสักคนในทีมของผม ผมวางแก้วลงอย่างระมัดระวังแล้วก้าวไปยังห้องเก็บเสบียง หัวใจเต้นระรัวอยู่ในอก กลิ่นกระเทียมกับโรสแมรี่ยังคงอบอวลอยู่ในอากาศในครัว เป็นเครื่องเตือนใจอันน่าคลื่นไส้ว่าเธอเคยมาที่นี่

พอไปถึงประตูห้องเก็บเสบียง ผมลองดึงเปิด แต่มันไม่ขยับเลย ติดแหง็ก เสียงหัวเราะช้าๆ เย็นเยียบหลุดจากริมฝีปากผม แน่นอนอยู่แล้ว เธอนำหน้าผมไปก้าวหนึ่งเสมอ ต้องประกาศการมีตัวตนของตัวเองด้วยวิธีที่น่ารำคาญที่สุดเสมอ ผมถอยหลัง ก้มลงมองที่พื้น ก็เจอกริชเล่มหนึ่ง ไม่ใช่ของผม ถูกปักคาเนื้อไม้ไว้ทำให้เปิดประตูไม่ได้ ประตูห้องเก็บเสบียงส่งเสียงครืดคราดขณะที่ผมใช้แรงงัดมันเปิดออก เผยให้เห็นพื้นที่สลัวๆ ที่อัดแน่นไปด้วยชั้นวางของกระป๋องและขวดไวน์

และตรงนั้น บนพื้นคอนกรีตเย็นเฉียบ คือลูกน้องของผมคนหนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่ เจสัน เปลือกตาเขาขยับเปิดอย่างมึนงง ใบหน้าฟกช้ำมอมแมม

“โธ่เว้ย เจสัน” ผมพึมพำ พลางย่อตัวลงข้างๆ เขา “นายโอเคไหม”

เขาไอ พยายามกระแอมให้คอโล่ง “บอส... เธอ... เธอมาที่นี่ ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง คิดว่าจะจับเธอได้ก่อนที่เธอจะหนีไป”

มือเขาสั่นขณะเอื้อมไปเกาะผนังเพื่อพยุงตัว

ผมเหลือบมองประตูอีกครั้ง สมองแล่นเร็วจี๋ “นายไปขวางทางเธอเข้าสินะ”

เจสันพยักหน้าอย่างอ่อนแรง กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

“บ้าชิบ” ผมสบถ ผมดึงเขาลุกขึ้นยืน ไม่สนใจความเจ็บปวดแปลบปลาบตรงสีข้างที่เขาโดนอัดเข้าไป “นายโชคดีแล้วที่เธอไม่ปิดจ๊อบ”

เจสันกะพริบตามองผม ความสับสนและความกลัวฉายวูบในแววตา “เธอเป็นตัวอะไรกันแน่ครับ บอส ผู้หญิงคนนี้... เธอไม่ปกติ”

ผมหัวเราะหึในลำคอ เกือบจะขมขื่น “ไม่ต้องบอกก็รู้ เธอคือวิญญาณที่ห่อหุ้มด้วยแพรพรรณและโลหิต... นายเห็นเธอไหม” ผมถาม ความหวังวูบไหวในอก บางที นี่อาจจะเป็นเบาะแสที่ผมต้องการ

ลำคอของเจสันขยับขณะเค้นเสียงแหบพร่าออกมา “ผมเห็นนิดหน่อยครับ”

ผมคว้าแขนเขาแล้วลากออกจากห้องเก็บเสบียงทันทีโดยไม่ลังเล นำทางเขาไปยังเคาน์เตอร์ครัว ผมค่อยๆ ประคองเขานั่งลงบนเก้าอี้สตูลแล้วหมุนตัวไปคว้าขวดน้ำจากตู้เย็น ผมยัดมันใส่มือเขา มองเขาดื่มมันอึกๆ ราวกับเป็นน้ำทิพย์ชุบชีวิต

“เล่ามาให้หมด” ผมพูด พลางโน้มตัวเข้าไปใกล้ น้ำเสียงกดต่ำและเร่งเร้า

เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ พยุงตัวบนเคาน์เตอร์ “ผมกำลังจะไปเปลี่ยนกะกับจอห์นนี่ที่อยู่หลังบ้าน ต้องเดินตัดผ่านห้องครัวเพราะมาสายแล้ว ไม่อยากเสี่ยงเดินอ้อมไปรอบๆ ที่ดิน เธอคงได้ยินผมเข้ามา เพราะทันทีที่ผมก้าวเข้ามาตรงประตู...ปึ้ก หมัดฮุกขวาเต็มๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย”

แววตาของเจสันฉายแววเจ็บปวดและทึ่ง “ผมเห็นแค่แวบเดียว ดวงตาสีเขียว คมกริบ เหมือนมันจะบาดทะลุตัวผมได้ เธอสวมฮู้ดสีดำคลุมศีรษะแน่น มีหน้ากากปิดปากกับจมูก แต่ดวงตาคู่นั้น...ให้ตายสิครับ มันยากที่จะลืมจริงๆ ขนาบข้างด้วยเส้นผมที่ไม่ใช่สีบลอนด์ซะทีเดียว ออกไปทางสีเงิน หรืออาจจะแพลทินัม ส่องประกายเหมือนแสงจันทร์”

ผมกลืนก้อนแข็งๆ ที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอ ผมสีเงิน ดวงตาสีเขียว

“เธอพูดอะไรไหม ได้ยินเสียงเธอหรือเปล่า” ผมคาดคั้น พลางโน้มตัวไปข้างหน้า

เจสันส่ายหน้า ยังคงหอบหายใจ “ไม่มีคำพูดอะไรเลยครับ มีแค่สายตาเตือนที่ทั้งเย็นชาทั้งคมกริบ เหมือนเธอกำลังบอกผมว่าอย่าขวางทาง... ไม่อย่างนั้น”

ผมกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด “ผีห่าซาตานเอ๊ย”

สายตาของเขาลดต่ำลงมองพื้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยขึ้นสบตาผมอีกครั้ง “บอสครับ เธอฉลาด เหี้ยมโหด แล้วก็รู้จักที่นี่ทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร เธอรู้ทุกอย่าง”

ผมพยักหน้าช้าๆ หรี่ตาลงขณะที่ความหนักอึ้งของเรื่องทั้งหมดถาโถมเข้ามา เธอไม่ได้เป็นแค่เงาในชีวิตผมอีกต่อไปแล้ว แต่กำลังจะกลายเป็นพายุที่ผมไม่อาจเพิกเฉยได้

ผมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง หรี่ตามองเจสันขณะเดินไปยังห้องควบคุมที่ซ่อนอยู่หลังห้องเก็บไวน์ เขาพูดถูก เธอรู้จักที่นี่ รู้ตารางเวลาของเรา เส้นทางของเรา จุดบอดของเรา ผมกดเปิดไฟทันทีที่เข้าไป ผนังที่เต็มไปด้วยจอมอนิเตอร์วงจรปิดก็สว่างวาบขึ้นมา มีทั้งภาพขาวดำและภาพสี ทุกจอกางออกราวกับดวงตาที่เฝ้าระวังทุกตารางนิ้วในอาณาเขตของผม ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนังแล้วดึงข้อมูลบันทึกขึ้นมา นิ้วรัวไปบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว ฟุตเทจสิบชั่วโมง ทุกอย่างราบรื่น ทุกอย่างเงียบสงบ เงียบเกินไป

“เอาน่า...” ผมพึมพำ

ผมลากแถบเลื่อนไปยังช่วงเวลาที่คาดว่าน่าจะมีการเตรียมอาหารเย็น อาจจะสักยี่สิบนาทีก่อนที่ผมจะเสร็จธุระกับพวกอิตาลี ผมไล่ดูกล้องทุกตัวที่จับภาพทางเข้าด้านหลัง โถงทางเดินไปห้องครัว และทางเดินไปห้องเก็บเสบียง ว่างเปล่า ไม่ใช่ภาพซ่า แต่... หายไปเลย

“แน่นอนอยู่แล้ว” ผมเปรยออกมาเบาๆ ขบกรามแน่น

ทุกครั้ง เหมือนเดิม กลอุบายเดิม ส่วนของฟุตเทจหายไปอย่างไร้รอยต่อแต่ก็เห็นได้ชัดถ้าคุณรู้ว่าต้องมองหาอะไร การเปลี่ยนฉากที่แนบเนียนจนไม่เคยกระตุ้นระบบเตือนภัย เธอตัดต่อหลักฐานดิจิทัลออกไปราวกับศัลยแพทย์

“เธอแฮ็กสัญญาณภาพอีกแล้ว” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ พลางดันตัวออกจากโต๊ะ

ผมเสยผมตัวเอง ความหงุดหงิดเดือดพล่านขึ้นในอก ไม่ใช่แค่เดินทะลุกำแพงของผมเข้ามาได้สบายๆ แต่เธอยังอุตส่าห์ลบรอยเท้าของตัวเองจนเกลี้ยงอีกด้วย หูฟังที่ปกเสื้อของผมมีเสียงซ่าดังขึ้นกะทันหัน

“บอสครับ” เสียงของเลียมดังเข้ามา ความตึงเครียดเจืออยู่ในน้ำเสียงที่ปกติจะผ่อนคลาย “บอสต้องอยากฟังเรื่องนี้แน่”

ผมยืดตัวตรงทันที “ว่ามา”

“มีเรื่องที่อินเฟอร์โนครับ คนของเราคนหนึ่งไปมีเรื่องกับแก๊งเจ้าถิ่น น่าจะเรื่องเขตแดนหรือไม่ก็ตกลงผลประโยชน์กันไม่ลงตัว แต่ตอนนี้เละเทะเลยครับ เละของจริง พวกนั้นขว้างขวด ลากอาวุธออกมากันแล้ว คนเต็มร้านเลย”

“คุมอยู่ไหม” ผมถามขณะมุ่งหน้ากลับขึ้นไปชั้นบนแล้ว

“ยังครับ ตอนนี้มีตำรวจห้านายอยู่ข้างนอก กับสายของเราอีกคนข้างในที่พยายามจะไม่ให้ตัวเองถูกเปิดโปง ผู้จัดการร้านสติแตกไปแล้วครับ บอกว่าติดต่อมัตเตโอไม่ได้ แล้วพวกแดนเซอร์ก็จะไม่เต้นต่อถ้ามีเลือดนองพื้นอีก”

ผมขบกรามแน่น นี่แหละที่ต้องการเลย วิกฤตภาพลักษณ์ห่าเหวในหมู่ส้นสูงกับแสงนีออน

“ฉันกำลังไป” ผมพูดเสียงเย็นชา “ดูแลให้ทุกคนยังมีลมหายใจจนกว่าฉันจะไปถึง”

“ได้เลยครับบอส”

สายตัดไป ผมคว้าเสื้อโค้ตจากในห้องโถง สวมซองปืนสั่งทำพิเศษเข้ากับไหล่ขณะเดิน นิ้วมือของผมขยับไปเองโดยอัตโนมัติ ปืน มีด โทรศัพท์สำรอง ทุกอย่างเข้าที่ แต่ใจของผมยังคงอยู่ที่ห้องครัว อยู่ที่ลาซานญ่า อยู่ที่รอยช้ำบนกรามของเจสัน อยู่ที่ผมสีเงินและตาสีเขียว เธอกำลังใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นโรสแมรี่ยังคงติดอยู่บนเสื้อผ้าของผม และชั่ววินาทีหนึ่ง ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอวางแผนเรื่องทั้งหมดนี้ไว้หรือเปล่า ดึงผมเข้าไป ล่อให้ผมเข้าใกล้ แล้วก็ส่งผมไปจัดการเรื่องวุ่นวายขณะที่ตัวเองเฝ้ามองจากที่ไกลๆ

ถ้าเธอกำลังมองอยู่ ผมก็ได้แต่หวังว่าเธอจะเห็นรอยยิ้มที่กำลังปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของผม

บทก่อนหน้า
บทถัดไป