บทที่ 9 บทที่ 9
กฤชเพชรปิดฝากระโปรงรถ เดินไปเปิดก๊อกน้ำที่อยู่ข้างสนามหญ้าล้างมือ ก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาโทร.หาช่างที่อู่ประจำ ครู่หนึ่งก็เดินกลับไปหาอนามิกาซึ่งรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“วันนี้อู่ปิด ช่างไปทำธุระที่ต่างจังหวัดจะกลับมาพรุ่งนี้ คุณนิจคงต้องทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วกลับกรุงเทพฯ พร้อมผม ผมกำลังจะไปส่งผิงพอดี ส่วนรถถ้าซ่อมเสร็จแล้วผมจะให้คนขับไปส่งให้ที่โรงแรม”
“แต่นิจไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอคุณกับผิง คุณควรจะได้กลับกันตามลำพังกับผิงมากกว่า”
คำพูดที่เหมือนหวังดีของอนามิกาทำให้ตาคมขุ่นขึ้งขึ้นมาฉับพลัน เขามองเหมือนเธอพูดอะไรผิดไป ทั้งๆ ที่มันเป็นเจตนาดีของเธอแท้ๆ
“ถ้าคิดจะเป็นคนดีแบบนั้น คุณนิจก็คงต้องค้างที่นี่อีกคืน”
“ไม่ได้นะ นิจมีนัด”
“แล้วอะไรมันสำคัญกว่ากันล่ะ ระหว่างนัดของคุณนิจกับการไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนอื่น” กฤชเพชรถามเสียงเข้มและยกมือขึ้นกอดอก
“นัดของนิจ” เสียงหวานตอบอ่อยๆ
“เพราะฉะนั้นคุณนิจคงจะตัดสินใจได้แล้วสิว่าควรต้องทำยังไง”
นั่นน่ะสินะ ทางเลือกของเธอมีแค่สองทางเท่านั้นล่ะ ซึ่งอนามิกาจำเป็นต้องเลือกทำสิ่งที่สำคัญกว่า สุดท้ายก็ต้องได้นั่งรถมากับกฤชเพชรและพลอยพิมลจนได้
กฤชเพชรแวะส่งพลอยพิมลก่อนเพราะบ้านอยู่ใกล้กว่า ดังนั้นตอนนี้ในรถจึงเหลือแค่อนามิกากับเขาสองคนนั่งกันตามลำพัง หญิงสาวหันไปมอง เห็นใบหน้าหล่อๆ นั้นเคร่งขรึมและเขาก็ไม่ยอมพูดยอมจาอะไรด้วย เธอจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“ทำไมคุณไม่ไปส่งนิจก่อน แล้วค่อยย้อนกลับไปส่งผิงล่ะ”
“คุณนิจพูดเองไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นการย้อนกลับ ส่งผิงก่อนก็น่าจะถูกแล้ว”
“นิจก็แค่อยากให้คุณได้อยู่กับผิงนานๆ”
“ที่อ้างว่าหวังดีกับคนอื่น ความจริงแล้วคุณนิจเห็นแก่ความรู้สึกของตัวเองมากกว่า”
“นิจเห็นแก่ความรู้สึกของตัวเองยังไง” หญิงสาวถามเสียงแข็งอย่างไม่พอใจที่ถูกเขากล่าวหาเช่นนั้น
“คุณนิจไม่อยากอึดอัดกับการนั่งในรถกับผมสองต่อสอง”
“ทำไมนิจจะต้องรู้สึกแบบนั้น” เสียงหวานสวนกลับออกไปเร็วผิดปกติ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับอาการร้อนตัว
“ข้อนั้นคุณนิจต้องถามตัวเอง”
“นิจไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรืออะไรทั้งนั้น ความรู้สึกของนิจมีอยู่อย่างเดียวก็คือ อยากให้คุณได้อยู่กับคนที่คุณรักและพอใจ มากกว่าต้องมาอยู่กับคนที่ไม่ค่อยชอบหน้ากันอย่างนิจ”
“ผมต้องขอบคุณคุณนิจสินะ” กฤชเพชรถามประชด เรียวปากหยักยกยิ้มคล้ายเยาะหยัน ขณะปรายตามาทางคนหวังดีแวบหนึ่ง
อนามิกาหันไปมองตอบ แล้วก็สะท้านใจเมื่อรู้สึกว่าแววตาขึ้งเครียดคู่นั้นคล้ายกับเจือไว้ด้วยความเจ็บปวด...เขาจะมีอะไรที่ต้องเจ็บปวด ในเมื่อกำลังมีความรัก เธอต่างหากล่ะที่กำลังแบกรับความรู้สึกนั้นอยู่เต็มอก
“นิจไม่ต้องการคำขอบคุณ...”
หญิงสาวตอบเบาๆ แล้วเงียบลง ตั้งใจว่าจะนั่งนิ่งๆ ไปตลอดทาง แต่โทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ทำให้ต้องรีบกดรับและแกล้งพูดด้วยเสียงที่หวานกว่าปกติ
“สวัสดีค่ะพี่ชาย นิจกำลังจะถึงแล้ว รอนิจอีกสักพักนะคะ เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว คิดถึงเช่นกันค่ะ”
เสียงหวานนุ่มที่กรอกผ่านโทรศัพท์ และสีหน้าที่สดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นทันทีที่รับสาย ช่างบาดลึกเข้าไปในขั้วหัวใจของคนขับรถอยู่ยิ่งนัก แม้จะไม่รู้ว่าต้นสายพูดอะไรตอบกลับมาบ้าง แต่แค่ได้ยินคนข้างๆ ตอบไปด้วยประโยคหวานหูที่ถูกเปล่งออกมาด้วยความละมุนละไม ก็ยิ่งทำให้คนไม่ได้ตั้งใจฟังเจ็บร้าวในอกมากกว่าเดิม
“คุณนิจจะให้ผมไปส่งที่ไหน” เสียงทุ้มถามขึ้นเรียบๆ แต่ห่างเหินจนคนฟังรู้สึกหนาวเหน็บ หลังจากที่อนามิกาวางสายโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว
“ส่งที่โรงแรมค่ะ”
กฤชเพชรขับรถไปยังจุดหมายปลายทางเงียบๆ ขณะที่หญิงสาวเองนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ซึ่งล้วนแต่เจ็บปวดไม่ต่างกัน
“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” เสียงหวานปนเศร้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่กฤชเพชรพารถแล่นมาจอดที่หน้าโรงแรมเรียบร้อยแล้ว
“ถ้ารถของคุณนิจซ่อมเสร็จ ผมจะรีบให้คนขับมาส่ง”
“ค่ะ”
อนามิกาตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยและผลักประตูเตรียมลงจากรถ
“เดี๋ยวก่อนครับคุณนิจ”
กฤชเพชรเรียกไว้เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์มือถือของเธอที่วางอยู่บนตักร่วงลงไปใต้เบาะ
ร่างสูงก้มลงข้ามเบาะเก็บของชิ้นนั้นให้แล้วเงยขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ใบหน้าหวานซึ้งหันมา ทำให้แก้มและจมูกโด่งห่างกันไม่ถึงคืบ อนามิกาถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเองกับความใกล้ชิดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ ปากที่เคยประกบจูบอยู่ใกล้แค่นี้ จมูกที่เคยดอมดมตีตราประทับไปทั่วร่างของเธอในค่ำคืนหนึ่งก็อยู่ใกล้แค่นี้ แต่ทว่า...หัวใจของเขาช่างอยู่ไกลจนเอื้อมมือไขว่คว้าไม่ถึง
“คุณนิจทำโทรศัพท์ตก”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้อนามิกาบอกตัวเองให้ตัดใจ และยื่นมือไปรับโทรศัพท์ของตัวเองคืนจากเขา ก่อนจะรีบผลักประตูรถลงไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้ว่าสายตาคนมองตามร้าวรานแค่ไหน
