บทที่ 6 6
“เอ่อ...ขอโทษนะที่ขัดจังหวะ แต่คุณไปเอาความอึดมาจากไหนเนี่ยวิว นักมวยผู้ชายในค่ายผมขนลุกซู่กันหมดแล้ว ถ้าเรื่องนี้แพร่ไป จะไม่มีหนุ่มไหนคิดอยากแต่งงานกับคุณนะ” เสียงเข้มๆดังขึ้นด้านข้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้หญิงสาวพักจากการซ้อม ยกแขนเล็กขึ้นปาดเหงื่อเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากรอรับน้ำที่ชายหนุ่มกรอกปากให้
“ทำไมล่ะ...ทำไมจะไม่มีใครแต่งงานกับวิว”
“เพราะพลังแรงควายและสีหน้าถมึงทึงของคุณตอนซ้อมมวยนี่แหละที่จะทำให้หนุ่มๆขยาดจนไม่อยากเข้าใกล้” ราเชนทร์พูดเสียงกลั้วหัวเราะ เขาอายุ 25ปีแล้ว นับว่าอายุมากกว่าวีรยาแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่เพราะใบหน้าเหี้ยมๆ ตัวใหญ่ๆ ท่อนแขนบึกบึน ทำให้ราเชนทร์ดูแก่กว่าความจริงเกือบสิบปีเลยทีเดียว
“บ้าสิ พลังแรงควายที่ไหน คุณเชนก็พูดเกินความเป็นจริง” หญิงสาวค้อนขวับ ไม่ยอมถอดนวมสีแดงแปร๊ดออกจากมือ แม้ว่าจะหยุดซ้อมกระสอบทรายแล้วก็ตาม
“เอ้า พูดเรื่องจริงก็ไม่ยอมรับอีก ว่าแต่คุณวิวไปโมโหอะไรมา”
“โมโหผู้ชายสิ ผู้ชายสมัยนี้ห่วยแตกสิ้นดี เห็นแก่ตัว ปากไม่มี หูรูด ชอบเอาเปรียบ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ” วีรยาใส่ฉอดๆ เล่นเอาทั่วบริเวณนั้นเกิดความเงียบขึ้นมาทันที
นักมวยในค่ายต่างหยุดมือแล้วหันมาจ้องคนพูดเขม็งด้วยสายตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ...อะแฮ่ม” ราเชนทร์กระแอมในลำคอเหมือนมีอะไรติดคอ ก่อนกระซิบบอกเสียงเบา “จะพูดจะจาอะไรก็ระวังไว้มั่งก็ดีนะคุณวิว อย่าลืมว่าในค่ายตอนนี้มีคุณเป็นผู้หญิงคนเดียว นอกนั้นเป็นผู้ชายล้วนๆ ไปเหมาว่าผู้ชายไม่ดีเดี๋ยวคุณก็โดนจับโยนออกไปนอนตากแห้งอยู่บนถนนให้รถเหยียบเป็นคางคกถูกบดหรอก”
“เข้าใจเปรียบเทียบนะ เปรียบซะเห็นภาพเลยเชียว” หญิงสาวกระซิบกลับ ก่อนพูดเสียงดังเหมือนจงใจให้คนอื่นได้ยินด้วยว่า “อันที่จริง ผู้ชายในโลกใบนี้น่ารักเกือบทุกคน ยกเว้นแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ฉันอยากฆ่า”
คราวนี้เหมือนสีหน้าทุกคนจะดีขึ้นมานิดหนึ่ง ขณะที่ราเชนทร์ถามต่ออย่างสนใจ
“ใครล่ะที่คุณอยากฆ่า คงไม่ใช่ผมหรอกใช่มั้ย”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ”
“หมอนั่นคงมีข้อเสียเพียบสินะที่ทำให้คนอย่างคุณนึกชังได้มากขนาดนี้”
“ค่ะ” หล่อนพยักหน้ารับ ก่อนพูดต่ออีกว่า “ผู้ชายคนนั้นหล่อมาก รวยเว่อร์ การศึกษาสูง เสียงก็เพราะ”
“อ้าว...เพอร์เฟ็กต์นี่นา คุณอิจฉาเขาเหรอไง”
“ไม่ได้อิจฉาค่ะ เมื่อก่อนก็เคยปลื้มเขาอยู่ แต่ตอนนี้อยากกระทืบมากกว่า พอได้คุยกันจริงๆถึงได้รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายห่วยแตกแถมปากสุนัขอีกด้วย”
เห็นท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของหญิงสาวแล้ว ราเชนทร์ก็หลุดขำออกมา มือหนาตบเบาๆที่บ่าเล็กแล้วปลอบว่า “เอาน่า...ถ้าไม่ชอบเขา คุณก็ควรจะเลิกนึกถึงเขานะ นี่ถ้าขนาดเก็บเรื่องเขามาคิดแล้วฮึดฮัดโมโหจนต่อยกระสอบทรายผมแทบพังแบบนี้ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นที่คุณว่า คงเป็นคนสำคัญสำหรับคุณมากแน่ๆ”
“ไม่ใช่คนสำคัญของฉันนะ” หล่อนแหวอย่างลืมตา
“เอ้า ถ้าเขาไม่สำคัญจริง คุณจะเก็บเขามานึกถึงแบบนี้เรอะ”
เจอย้อนแบบนี้เข้าไป หญิงสาวก็ถึงกับพูดไม่ออก หล่อนชนกำปั้นเข้าหากันดังตึกๆ สีหน้ามาดมั่นมากเมื่อพูดอวดเก่ง
“ถ้าเจออีตานั่นอีกครั้ง ฉันจะต่อยให้หน้าหงาย โทษฐานที่มาทำให้ฉันหมั่นไส้”
“โฮ้...เก่งเชียว ว่าแต่คนนั้นของคุณชื่ออะไร”
“กฤตพล วรินทร์ธนโชค” หล่อนตอบโดยไม่ต้องคิดเพราะจำชื่อเขาได้แม่นยำ แต่ราเชนทร์ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ก็บังเอิญมีหนุ่มรูปร่างสันทัดวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในค่ายเสียก่อน
“แฮ่กๆ”
“มีอะไร หอบเชียว หนีอะไรมา อย่าบอกนะว่าหนีงูเขียวเหมือนคราวก่อน นายชอบทำเรื่องเว่อร์อยู่เรื่อย เจออะไรนิดหน่อยก็หน้าตื่น” ราเชนทร์บ่นยาวอย่างไม่จริงจังนักเพราะรู้นิสัยดีว่า‘มานิต’หนุ่มน้อยวัย17 ปีคนนี้ค่อนข้างขี้ขลาด ตื่นตกใจอะไรง่าย จึงมักเป็นที่กลั่นแกล้งของเพื่อนๆ และด้วยเหตุนี้นี่แหละ มานิตถึงมาขอซ้อมมวยกับราเชนทร์เพราะหวังว่าสักวันตนจะเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งได้
“ไม่ ไม่ใช่งูเขียว แฮ่กๆ” ก้มลงจับเข่าตัวเองพลางหอบหายใจแรงๆราวกับว่าหายใจไม่ทัน
“หรือว่าโดนหมาในซอยไล่ฟัดเหมือนคราวก่อน” วีรยาเป็นฝ่ายเดาบ้าง และฝ่ายนั้นก็ส่ายหน้าเร็วๆ
“ไม่ใช่ครับ เลิกเดามั่วแล้วฟังผมให้ดีนะ คือว่าคุณชาติโดนรถเฉี่ยวครับ ตอนนี้เจ้าของรถก็ออกมาต่อว่าคุณชาติหาว่าไม่ระวัง”
“อะไรนะ !” หญิงสาวแผดเสียงลั่น ตาวิบวับอย่างไม่พอใจ “ตัวเองขับรถเฉี่ยวคนอื่นแท้ๆ แทนที่จะเป็นฝ่ายขอโทษ กลับต่อว่า คุณชาติได้ไง”
“รีบไปดูกันดีกว่า รถเฉี่ยวกันตรงไหน” ราเชนทร์ถามอย่างกระชั้นชิด ด้วยความเป็นห่วงสุชาติผู้เป็นน้องชาย ซึ่งมานิตก็รีบชี้มือออกไปด้านนอก
“ตรงตรอกทางเข้าค่ายมวยของเรานี่แหละครับ”
“งั้นไปดูกัน” ราเชนทร์วิ่งตามมานิตโดยมีวีรยาวิ่งตามไปติดๆ
เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ราเชนทร์ก็ตรงเข้าหาสุชาติซึ่งยืนหน้าบูดอยู่ข้างๆรถจักรยานยนต์ที่ตนเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ
“เป็นไงมั่งชาติ เจ็บตรงไหนบ้าง”
“แค่เคล็ดขัดยอก แต่ยังไงผมก็จะเอาค่าทำขวัญจากไอ้หน้าอ่อนนี่ให้ได้ ขับรถเฉี่ยวคนอื่นแล้วยังมีหน้าบอกว่าตัวเองไม่ผิดอีก” สุชาติชี้หน้าผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งซึ่งยืนพิงประตูรถเบนซ์สีดำสนิทอยู่...ชายคนนั้นมีทีท่าสงบนิ่ง ยิ่งสวมแว่นกันแดดอำพรางดวงตาก็ยิ่งทำให้คนอื่นเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ใจเย็นๆน่าชาติ นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ราเชนทร์พยายามเกลี้ยกล่อมเพราะรู้ดีว่าน้องชายของตนนิสัยไม่ค่อยดีนัก ปากพล่อยแถมยังชอบกร่างเป็นนักเลง ขับรถเร็วด้วยความประมาทอยู่เสมอ ซึ่งเขาเคยเตือนหลายครั้งแล้ว ทว่าสุชาติไม่ยอมรับฟังเลย อีกทั้งยังกล่าวหาว่าเขาจู้จี้เกินไปอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรที่ไหนกันล่ะพี่ ก้นผมช้ำไปหมด นี่ถ้ารถมอไซค์ผมไม่เอียงล้มลงตรงหญ้านิ่มๆ ป่านนี้กระดูกกระเดี้ยวผมอาจหักไปแล้วก็ได้” สุชาติยังคงโวยวายไม่เลิก ขณะที่มานิตยืนนิ่งหน้าเสีย
วันนี้โรงเรียนปิด มานิตจึงคิดจะมาซ้อมมวยเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ แต่เพราะระยะบ้านกับค่ายมวยอยู่ไม่ไกลกันนัก เขาจึงไม่ใช้ยานพาหนะแล้วใช้ขาวิ่งแทนเพื่อจะได้ออกกำลังกายไปในตัว แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเหตุการณ์ที่สุชาติรถล้มอยู่ข้างทาง
