กรีนไลท์ คลับ

กว่ารถบรรทุกจะเคลื่อนมาจอดสนิท เอวาก็สามารถรับมือกับความตื่นตระหนกสุดขีดและความหวาดหวั่นที่รบกวนเธอมาเกือบตลอดการเดินทางที่มองอะไรไม่เห็นได้สำเร็จ และตั้งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึง

หากมีสิ่งใดที่เธอได้เรียนรู้ตลอดสามปีที่ผ่านมา นั่นก็คือผู้ที่ปรับตัวได้คือผู้ที่อยู่รอดได้นานที่สุด เพื่อให้อยู่รอดในคุกใต้ดิน เธอได้เรียนรู้วิธีขังนักสู้ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดไว้ และทำตัวให้หวาดกลัวเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจโดยไม่จำเป็น เธอไม่รู้ว่าสถานการณ์ใหม่นี้จะนำพานรกขุมใดมาให้ แต่เอวาก็พร้อมที่จะจุดไฟในตัวขึ้นมาใหม่ หากโอกาสเอื้ออำนวย

แม้ว่ามีอาจะยังคงเงียบงัน

แม้จะมีภาพเหตุการณ์น่าสยดสยองนับไม่ถ้วนผุดผ่านเข้ามาในหัว แต่รอยโหว่ขรุขระใน...ตัวตนภายในของเธอ ตรงที่ซึ่งควรจะมีมีอาอยู่ ก็เป็นสิ่งรบกวนสมาธิที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เธอไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอจนทำให้สายสัมพันธ์ของพวกเธอถูกตัดขาด อันที่จริง คืนต้องสาปทั้งคืนนั้นเลือนรางไปหมด แม้ขณะที่เธอเพ่งสมาธิไปที่ความทรงจำเมื่อสองสามคืนก่อน ก็มีเพียงภาพเลือนรางวาบผ่านเข้ามาในมโนสำนึก

มีการเผชิญหน้าที่กลายเป็นความรุนแรง ดังเช่นที่การเผชิญหน้าส่วนใหญ่มักจะเป็นในคุกใต้ดิน ร่างกายของเอวาถูกครอบงำด้วยความเจ็บปวดที่ลึกล้ำยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่เธอเคยประสบมาระหว่างอยู่ในคุกใต้ดินหรือก่อนหน้านั้น มันเหนือกว่าความเจ็บปวดทางกาย แสดงออกมาในรูปแบบที่เอวาไม่มีคำศัพท์ที่เหมาะสมพอจะอธิบายเป็นคำพูดได้ ราวกับว่าจิตวิญญาณของเธอถูกฉีกออกเป็นสองส่วน แต่นั่นก็ยังไม่รู้สึกเหมือนเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องนัก

มีอาเป็นส่วนหนึ่งของเอวา เช่นเดียวกับที่วูล์ฟทุกตนเป็นส่วนหนึ่งของร่างสถิต แต่เธอก็เป็นตัวตนของตัวเองเช่นกัน – สัตว์ร้ายดั้งเดิมภายในร่างสตรีผู้มีสำนึกรู้ พวกเธอใช้ร่างกายและชะตากรรมร่วมกัน แต่ทั้งสองทำงานแยกจากกันอย่างอิสระ เอวามีอำนาจควบคุมร่างกายมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ และเมื่อถึงเวลาต้องส่งต่อการควบคุมและแปลงร่าง มีอาจะเข้าควบคุมร่างหมาป่าของพวกเธอ

ความสัมพันธ์ระหว่างร่างสถิตและวูล์ฟของตนเป็นแบบพึ่งพาอาศัยกัน โดยแต่ละจิตสำนึกจะมอบลักษณะเฉพาะตัวให้อีกฝ่ายเพื่อทำให้ร่างทั้งสองแข็งแกร่ง เอวามอบการรับรู้ให้มีอา ความสามารถในการคิดวิเคราะห์เหนือกว่าระดับหมาป่าทั่วไป ทำให้เธอเป็นนักวางกลยุทธ์ที่ดุดัน อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่าของฝูงทั้งในร่างมนุษย์และนอกร่าง สำหรับเอวา มีอายกระดับความเป็นมนุษย์ของเธอ ทำให้เธอมีปฏิกิริยาตอบสนอง ประสาทสัมผัส และพละกำลังที่เพิ่มขึ้น มีอามอบสัญชาตญาณดิบที่เป็นสัมผัสที่หกของสุนัขให้เอวา และสร้างสายใยเหนือธรรมชาติที่หล่อหลอมฝูงวูล์ฟ ทำให้พวกเขารับรู้สถานะของกันและกัน ในอีกชีวิตหนึ่ง มีอาอาจจะจดจำคู่ของตนในวูล์ฟอีกตนได้ สร้างสายสัมพันธ์อันมั่นคงกับคู่ที่สมบูรณ์แบบของตน รับประกันชีวิตที่มีความผูกพันและความพึงพอใจสำหรับพวกเขาทั้งสอง

บัดนี้ ความเป็นจริงนั้นดูเหมือนจะไกลเกินกว่าขอบเขตของความเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าเอวาไม่รู้สึกถึงร่องรอยจิตสำนึกที่แฝงเร้นของมีอาเลยตลอดสามวันที่เลย์ลาตาย ปัจจุบัน ขณะนั่งถูกล่ามโซ่และคลุมศีรษะอยู่ในท้ายรถตู้ที่พระจันทร์เท่านั้นที่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เอวาคงโชคดีมากหากมีสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากความตายอันนองเลือดและยืดเยื้อรอเธออยู่เมื่อประตูเปิดออกในที่สุด

เมื่อมันเปิดออกในที่สุด เอวาก็เตรียมใจรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ร่างกายของเธอเกร็งแน่นราวกับสายธนูเมื่อมือหยาบกร้านลากเธอออกมาจากท้ายรถ เธอลองพยายามตั้งสติอย่างเงียบงัน เพ่งสมาธิเพื่อลับประสาทสัมผัส มองหาเบาะแสใดๆ ว่าพวกเขาถูกพามาที่ไหน ทว่าเมื่อมีอาใช้การไม่ได้ สิ่งเดียวที่เธอได้ยินคือเสียงหอบหายใจหนักๆ อย่างตื่นตระหนกของผู้หญิงหวาดกลัวราวสิบสองคนที่ถูกลากออกมาจากรถตู้มรณะ

“พวกเราอยู่ที่ไหน?” เอวาลองเสี่ยงถามออกไป ยอมเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายเพื่อล้วงข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเขา

“เงียบซะ ยัยผู้หญิง เดี๋ยวเธอก็รู้เอง” ยามคนหนึ่งตอบ

ยัยผู้หญิง ไม่ใช่ ‘นังหนู’ ซึ่งเป็นคำที่พวกยามในคุกใต้ดินใช้เรียกนักโทษส่วนใหญ่ หรือ ‘นังเบต้าตัวแสบ’ ซึ่งเป็นคำที่พวกเขามักจะเก็บไว้เรียกเธอโดยเฉพาะ และเมื่อมือหนึ่งจับแขนเธอ กระตุ้นให้เธอเคลื่อนไหว มันกลับนำทางเธอแทนที่จะลากเธอไปยังที่ที่เธอควรจะไป

“พวกแกไม่ใช่ยามในคุก” เธอรู้ดีอยู่แล้วจากท่าที การพูดจา และการวางตัวที่ไม่แสดงความเกลียดชังอย่างรุนแรง

ความสงสัยของเธอได้รับการยืนยันเมื่อผู้คุมตัวของเธอแค่นเสียง “ไม่ใช่เลยสักนิด”

เขาไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม และเอวาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งมีอาก็รู้ดีว่าไม่ควรลองดีกับเขา พวกเขาอาจจะไม่ใช่ยามคุกที่เย็นชาและโหดร้ายอย่างที่เธอรู้จักมาตลอดสามปี แต่เธอไม่รู้จักคนเหล่านี้ หรือสิ่งที่พวกเขาวางแผนจะทำกับเธอและผู้หญิงคนอื่นๆ เอวาดูรายการอาชญากรรมเรื่องจริงเป็นประจำ เพียงเพราะตอนนี้พวกเธอไม่ถูกทารุณกรรม ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะไม่ต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายกว่าที่คุกใต้ดินเคยหยิบยื่นให้ ดังนั้น เธอจะยังคงระมัดระวังตัวต่อไป

เมื่อปราศจากประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์ของมีอา ในไม่ช้าเอวาก็คลาดจากการรับรู้ว่าพวกเขากำลังถูกพาไปที่ไหน ในที่สุด อากาศเย็นยามค่ำคืนก็จางหายไป แทนที่ด้วยความเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศส่วนกลาง เราอยู่ในตึกที่มีแอร์ เอวาครุ่นคิดอย่างระแวดระวัง ฆาตกรเขาไม่เปิดแอร์กันหรอก ใช่ไหมล่ะ?

เอวารู้สึกว่าความสับสนของเธอเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเพลงเต้นรำแว่วมาจากที่ไกลๆ ไม่ใช่เพลงแบบที่จะได้ยินตามวิทยุหรือในไนท์คลับ แต่เป็นเสียงดนตรีนานาชาติที่คัดสรรมาอย่างดี เหมาะกับเลานจ์หรูหราที่พ่อของเธอและผู้ชายคนอื่นๆ ในฝูงชอบไปในเมืองมากกว่า

ในที่สุด แถวก็หยุดนิ่ง เป็นเวลาสองสามนาทีที่ยาวนาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแม้จะถูกล่ามโซ่ เอวาก็เกร็งตัวเตรียมจะพุ่งหนี ทันใดนั้นผ้าคลุมศีรษะก็ถูกกระชากออกจากหัวของเธอ เธอหยีตาเมื่อเจอแสงสว่างจ้าทันที แต่เมื่อจุดพร่าเลือนในดวงตาจางหายไปและการมองเห็นเริ่มชัดเจนขึ้น ความสับสนของเอวาก็ก่อตัวเป็นก้อนความหวาดหวั่นหนักอึ้งจุกอยู่ที่ท้องน้อย

ห้องที่พวกเธออยู่นั้นดูคล้ายกับห้องนั่งเล่นที่เอวาเคยนึกภาพไว้มาก โซฟาหนังสีเข้มประดับด้วยโซฟาตัวยาวกำมะหยี่สีเขียวมรกตและออตโตมันตั้งอยู่เต็มห้องซึ่งผนังเรียงรายไปด้วยกระจกเงามากเกินควร แม้จะเป็นกระจกกรอบทองก็ตาม เพดานห้องประดับด้วยไฟสโตรบที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน และแน่นอนว่ามีกระจกเงาอีกเช่นกัน สายตาของเอวาไล่มองตามแนวเสาทองสัมฤทธิ์มันวาวทอดยาวไปยังจุดที่มันตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นหินอ่อนสีดำขัดมันไร้ที่ติ

ความคาดหวังของเอวาต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นพลันเปลี่ยนไป เมื่อเธอสังเกตเห็นรายละเอียดที่...เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นของห้อง เช่น โซ่ทองสัมฤทธิ์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน บางเส้นมีปลายสุดเป็นแท่งทองสัมฤทธิ์ ขณะที่บางเส้นนำไปสู่กุญแจมือหนัง เมื่อเธอเห็นโครงสร้างรูปตัวเอ็กซ์ขนาดใหญ่สีเข้มตั้งอยู่ที่ปลายห้องด้านหนึ่ง ความสงสัยของเอวาก็แทบจะได้รับการยืนยัน ซ่องหรูชัดๆ

ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เอวาเปลี่ยนจากคนที่ยอมจำนนต่อความตายอย่างโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแลในหลุม มายืนอยู่ในที่ที่ดูเหมือนบาร์หรูสำหรับพวกมีรสนิยมวิตถาร เอวากลัว แน่นอนว่าเธอกลัว ในรายการสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในใจของเธอ การถูกขายให้ซ่องย่อมอยู่ในอันดับต้นๆ แต่เมื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมแล้ว ที่นี่ไม่ได้ดูเหมือนซ่องซอมซ่อตามซอกหลืบในเมืองอย่างที่เธอจินตนาการไว้ ที่นี่ดูเหมือนเป็นทางรอด

เอวากำลังค่อยๆ วางโครงร่างแผนการในใจเมื่อหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินผ่านประตูกระจกกรอบทองเข้ามา ร่างสูงสง่า ผมดำยาวสลวย และโหนกแก้มคมปานเหล็กกล้า หญิงผู้นี้มีบารมีแผ่ซ่าน ประสาทสัมผัสที่ด้านชาของเธอทำให้เอวาไม่สามารถรับรู้ข้อมูลเฉพาะใดๆ เกี่ยวกับหญิงผู้นั้นได้ แต่เอวารู้ว่านางเป็นหมาป่า และไม่ว่าสถานประกอบการแห่งนี้จะเป็นอะไรก็ตาม มันเป็นของนาง

“มาดามเบลล่า พวกมันมาถึงแล้วค่ะ” หญิงจากเรือนจำเดินมายืนอยู่ด้านหลังเจ้าบ้านร่างสูงผู้แต่งกายหรูหราของพวกเธอ

มาดามเบลล่าจุดบุหรี่แล้วค่อยๆ เดินพิจารณาหญิงสาวแต่ละคนที่ทั้งสกปรกและตัวสั่นเทาไปตามแถว ไม่ต่างจากที่ลูกสมุนของนางทำในห้องพักนักโทษ

“ช่าง. สวย. งาม. โอเมก้า.” แต่ละคำของนางถูกเน้นด้วยเสียง คลิก แหลมของรองเท้าส้นเข็มสูงหกนิ้ว เมื่อนางมาหยุดตรงหน้าเอวา นางอัดควันบุหรี่โดยไม่ละสายตา “ไม่ใชโอเมก้า”

นางยกมือข้างที่คีบบุหรี่ขึ้นเป็นสัญญาณเรียก “โดรินด้า อธิบายคนนี้มาซิ”

หญิงจากเรือนจำ ซึ่งเอวาเดาว่าเป็นผู้ดูแลของพวกเธอ รีบปรี่ไปอยู่ข้างมาดามเบลล่า “คนนี้ไม่ใชโอเมก้าค่ะ มาดาม แต่ถ้าจะเชื่อพวกผู้คุม นางยังบริสุทธิ์อยู่ค่ะ”

คิ้วของเบลล่าเลิกขึ้นอย่างสนใจ “ในยุคสมัยนี้เนี่ยนะ? หามาได้น่าประทับใจนี่ โดรินด้า ทำไมฉันถึงอ่านนางไม่ออก?”

โดรินด้ากลืนน้ำลายเงียบๆ “มีบางอย่างผิดปกติกับหมาป่าของนางค่ะ พวกนั้นไม่ได้อธิบายละเอียด แต่การเชื่อมต่อของนางถูกตัดขาด นางไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาแล้ว”

เอวาไม่ยอมสะดุ้งสะเทือนต่อคำพูดที่บาดหูนั้น และเชิดคางขึ้นเมื่อหญิงสาวคนอื่นๆ กล้าพอที่จะจ้องมองเธอด้วยความตกตะลึงระคนรังเกียจ แม้กระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังเป็นตัวประหลาด

มนุษย์” เบลล่าพูดคำนั้นด้วยน้ำเสียงราวกับพูดถึงขยะที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ “แล้วจะให้ฉันทำยังไงกับของที่อ่อนแอแบบนี้ล่ะ โดรินด้า? เอากลับไป” เบลล่าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เริ่มหันหลังกลับ

“แต่...นาง...เป็น –“

“เป็นอะไร โดรินด้า? สาวบริสุทธิ์รึ?” นางตัดบทหญิงอีกคน “โธ่เอ๊ย ผู้หญิงคนนี้ แม้แต่ฉันก็ยังไม่ใจไม้ไส้ระกำพอที่จะส่งเด็กสาวไร้ทางสู้ไปให้พวกอัลฟ่าที่กำลังติดสัดหรอกนะ นางจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะหาเงินมาจ่ายค่าจ้างทีมเก็บกวาดได้ทันเสียอีก”

หญิงสาวคนอื่นๆ หลายคนเริ่มร้องไห้ขณะที่มาดามเบลล่ากลอกตามองอย่างเฉยเมย “นางไม่มีประโยชน์อะไรกับฉัน เอานางกลับไป”

เมื่อหญิงผู้นั้นหันหลังจะจากไปอีกครั้ง เอวารู้ว่าโอกาสรอดชีวิตของเธอกำลังจะเดินจากไปพร้อมกับนาง “เดี๋ยวก่อน!” เธอใส่พลังอำนาจทั้งหมดที่สืบทอดมาจากยศศักดิ์ของเธอลงไปในน้ำเสียง หากจะมีเวลาไหนที่ต้องเสี่ยงโชค ก็คือตอนนี้แล้ว “คุณส่งฉันกลับไปไม่ได้”

เบลล่าชะงัก คิ้วเลิกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เอวาคาดว่าคงเป็นด้วยความขบขัน “แล้วทำไมกันล่ะจ๊ะ แม่คุณ?”

“คุกใต้ดินนั่นเป็นอะไรหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ซ่อง” เอวาผายมือไปยังเด็กสาวคนอื่นๆ “ไม่ว่าข้อตกลงนี้จะเป็นอะไรก็ตาม ฉันสงสัยอย่างยิ่งว่ามันจะไม่ใช่เรื่องถูกกฎหมาย ถ้าคุณส่งฉันกลับไป ฉันอาจจะเผลอหลุดปากอะไรบางอย่างออกไปก็ได้”

ความขบขันใดๆ หายวับไปจากใบหน้าที่แข็งกร้าวดุจเพชรของหญิงผู้นั้นทันที เอวารู้ว่าเธอกำลังต่อรองเกินตัวไปหน่อย แต่เธอกลับรู้สึกเป็นตัวของตัวเองในการเจรจาต่อรองกับหญิงผู้น่าเกรงขามคนนี้มากกว่าที่เคยรู้สึกมาหลายปี “เธอก็พูดมีเหตุผลนี่ ทำไมฉันไม่กำจัดเธอทิ้งซะเลยล่ะ?”

เอวากัดกรามแน่น “เมื่อพิจารณาดูแล้ว ที่นี่ก็เป็นสถานประกอบการที่ดูดีทีเดียวนะ ฉันไม่คิดว่าคุณชอบลงมือเองให้มือเปื้อนหรอก”

เบลล่าเอียงคออย่างฉงนสนเท่ห์ระคนขบขัน “ที่รักจ๋า ถ้าเธอคิดว่าฉันต้องลงมือเองให้มือเปื้อนเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ เธอก็ไม่ได้หัวไวอย่างที่ฉันเริ่มจะคิดแล้วล่ะสิ”

เอวายักไหล่ แสร้งทำเป็นไม่แยแสทั้งที่ไม่รู้สึกเช่นนั้น “ก็มีเหตุผลค่ะ” เธอพูดตาม “ฉันอาจจะทำเงินให้คุณในทาง...ปกติไม่ได้ แต่ฉันมีบางอย่างที่คนอื่นไม่มี”

เมื่อเบลล่าไม่พูดตัดบท เธอผายมือไปยังเด็กสาวที่กำลังร้องไห้งุนงงอยู่ข้างๆ “ฉันมีความมุ่งมั่น ฉัน อยาก อยู่ที่นี่ ฉันจะเสิร์ฟอาหาร ล้างชุดชั้นในของคุณ หรืออะไรก็ตามที่คุณต้องการให้ฉันทำ ฉัน ยินดี ทำค่ะ”

หญิงผู้เคร่งขรึมพิจารณาเอวาอีกครั้ง ความรู้สึกใหม่คล้ายความนับถือฉายแววในดวงตาของนาง “ทำไมล่ะ? ถึงจะร้องห่มร้องไห้ไป พวกนั้นก็หาเงินได้มากพอที่จะซื้ออิสรภาพออกจากที่นี่ภายในสองสามปี การขัดส้วมมันไม่ได้เงินดีขนาดนั้นเสียหน่อย ความหวังของเธอไปไหนหมดแล้วล่ะ แม่หนู?”

เอวายิ้มเยาะอย่างขื่นขม “มันตายไปนานแล้วค่ะ แล้วคุณเคยเห็นคุกนั่นไหมล่ะ? ถ้าเคยเห็น การขัดส้วมก็คงไม่ดูแย่นักหรอก”

รอยยิ้มบางๆ แวบผ่านริมฝีปากของเบลล่า หายไปก่อนที่เอวาจะทันแน่ใจว่ามันเคยปรากฏขึ้นด้วยซ้ำ “ตกลง” เป็นคำเดียวที่นางพูดก่อนจะเดินเฉิดฉายออกจากห้องไป ทิ้งให้พวกผู้ดูแลจัดการกับเด็กสาวที่ยังคงตื่นตกใจ

ยี่สิบนาทีต่อมา เอวาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องขนาดเท่าตู้เสื้อผ้า จืดชืดและเล็ก แต่แห้งและค่อนข้างปลอดภัย ดีที่สุดคือมันมีหน้าต่างบานเล็กๆ เล็กพอที่จะทำให้แน่ใจว่าเธอจะอยู่ในนั้น แต่ก็ใหญ่พอที่จะให้เธอมองดูดาวได้ และเธอก็ทำเช่นนั้น เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เอวาสวดอ้อนวอนต่อดวงจันทร์โดยตรงจนกระทั่งรุ่งสาง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป