บทที่สาม

มุมมองของเอเลน่า

“แต่ท่านพ่อเพคะ” ฉันหันไปมองทางที่มาทิลด้านั่งอยู่เมื่อได้ยินเสียงของนาง “ลูกได้ยินมาว่าท่านอัลฟ่าอัปลักษณ์แถมยังวิปลาสอีกด้วย ถ้าเขาฆ่านางก่อนที่จะมีทายาทให้เขาล่ะเพคะ” เลือดในกายฉันเย็นเฉียบ

น้ำเสียงของมาทิลดาฟังดูเป็นกังวล แต่แววตาที่พึงพอใจของนางพิสูจน์ให้เห็นว่านางแค่กังวลว่าจะไม่ได้เห็นฉันตายเท่านั้น

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล ลูกรัก นับจากนี้ไป นางไม่ใช่ลูกของพ่ออีกต่อไป พ่อไม่สนว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับนาง ไม่ว่านางจะอยู่หรือตายก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องใส่ใจ” ถ้อยคำอันเย็นชาของท่านพ่อทำให้หัวใจฉันแตกสลาย

“ไม่นะเพคะ ได้โปรด” น้ำตาเอ่อคลอจนบดบังทุกสิ่งขณะที่ฉันทรุดตัวลงคุกเข่า ฉันมองท่านพ่อที่ลุกขึ้นยืนราวกับจะจากไปและรีบคลานเข้าไปกอดข้อเท้าของท่านไว้ทันที “ท่านพ่อ ได้โปรดเถอะเพคะ ได้โปรดอย่าทำกับลูกแบบนี้ ลูกเป็นลูกของท่านนะเพคะ!” ฉันกรีดร้องพลางส่ายหน้าอย่างแรง “ลูกอยู่กับผู้ชายคนนั้นไม่ได้ ได้โปรดเถอะเพคะ ท่านพ่อ!”

แม้ท่านจะพยายามแกะขาออกจากการเกาะกุมของฉัน ทั้งยังใช้ขาอีกข้างเหยียบย่ำฉันอย่างแรง ฉันก็ไม่ยอมปล่อย

“รอยซ์ ให้คนใช้ไปเก็บของของนางมาให้หมด! ทุกชิ้นเลยนะ! เดวิด เอาตัวประหลาดนี่ออกไปให้พ้นสายตาข้า แล้วดูแลให้แน่ใจว่านางถูกมัดไว้จนกว่าคนของลูเซียนจะมารับตัว”

“ไม่นะเพคะ ท่านพ่อ ได้โปรด...” ฉันยังคงกอดขาของท่านไว้ แต่เดวิดแข็งแรงกว่าและรวบตัวฉันไว้ได้ในเวลาไม่นาน ฉันหอบหายใจ รู้สึกราวกับอากาศในปอดหยุดไหลเวียนเมื่อเขาใช้แขนรัดรอบเอวฉันไว้แน่น

ดวงตาที่แดงก่ำของฉันจ้องมองแผ่นหลังของท่านพ่อที่กำลังเดินจากไปพร้อมกับแพทริเซียและมาทิลดาซึ่งไม่แม้แต่จะชายตามองฉัน

ฉันอยากจะอ้อนวอนขอชีวิตและร้องขอความเมตตา ต่อให้ต้องอยู่ที่นี่ในฐานะโอเมก้าก็ยังดีเสียกว่า แต่ทำไมท่านถึงต้องขายฉันทิ้งด้วย ท่านเกลียดฉัน แต่ถึงขั้นชิงชังฉันขนาดนี้เลยหรือ

ฉันหยุดดิ้นรนแล้ว ความเหนื่อยล้าและอาการคลื่นไส้แผ่ซ่านไปทั่วร่างราวกับผ้าห่มผืนหนา แม้เดวิดจะวางฉันลงบนพื้น ฉันก็ได้แต่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น สัมผัสได้ถึงความเย็นของพื้นจรดแก้มที่ไร้ความรู้สึก

มันเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยปลอบประโลมท่ามกลางความโกลาหลในวันนี้ ฉันเกือบจะหวังว่าตัวเองจะนอนอยู่ตรงนี้และหลับไปตลอดกาลได้

คนใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา “ท่านเดวิดคะ เราพบว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลบาร์นส์เก็บข้าวของของเธอไว้ในห้องเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“เอาออกไปข้างนอก เดี๋ยวทหารยามจะยกขึ้นรถเองเมื่อรถมาถึง” เสียงของเดวิดดังอยู่ใกล้ๆ นั่นหมายความว่าเขายังคงยืนค้ำหัวฉันอยู่

แม้คนใช้จะจากไปแล้ว ทิ้งเราไว้ในห้องทำงานตามลำพัง เขาก็ไม่ขยับไปไหน

ทันใดนั้น เขาก็ย่อตัวลง ฉันสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงมือของเขาที่ลูบไล้ขึ้นมาตามขาของฉันจนถึงต้นขา “เธอวางแผนจะหนีไปสินะ? หนีไปโดยไม่มีฉันเนี่ยนะ? คิดว่าฉันจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนั้นล่ะ หืม” เสียงของเขาอบอุ่นและเย้ยหยัน

พลังระลอกหนึ่งพลุ่งพล่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ฉันใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดดิ้นรนอย่างรุนแรง พยายามผลักเขาออกไป “ออกไปจากตัวฉันนะ ไอ้สารเลว!”

เขาตบหน้าฉันอย่างแรงจนฉันนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะดึงฉันเข้าไปกอดอีกครั้ง “ถ้าเธอดื้อกับฉันอีก เอเลน่า ฉันจะทำร้ายเธอให้หนักจนแม้แต่ลูเซียนก็จำเธอไม่ได้”

“ฉันยอมตายในอ้อมแขนของลูเซียนดีกว่าให้แกมาแตะต้องตัวฉัน ทิ้งฉันไว้คนเดียว ไอ้...”

เขาหัวเราะอย่างชั่วร้าย “เธอจะทำอะไรได้ อย่างมากก็มีแค่ชีวิตซึ่งจะถูกพรากไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า น่าเสียดายจริงๆ ที่อัลฟ่าคนนั้นจะได้เป็นคนแรกของเธอ หมายความว่าเขาจะได้สัมผัสตัวเธอและพรากพรหมจรรย์ของเธอไปสินะ หืม บางทีฉันน่าจะรอจนได้ตัวเธอก่อนแล้วค่อยบอกให้รู้ว่าฉันได้กับยัยพี่สาวสมองทึ่มของเธอแล้ว”

เสียงหัวเราะของเขาฟังดูมืดมน สีหน้าบิดเบี้ยวขณะที่เขากระซิบข้างหูฉัน “นางน่ะหลอกง่ายจะตาย อีกไม่นานมงกุฎนั่นก็จะตกอยู่ในมือฉัน”

ฉันกัดฟันกรอด เต็มไปด้วยความโกรธที่เดือดพล่าน แขนของเขากลับมาอยู่ที่ต้นขาของฉันอีกครั้ง เคลื่อนเข้ามาใกล้หว่างขาของฉันอย่างน่าอันตราย ลมหายใจของฉันติดขัดอยู่ตรงลำคอ ฉันรู้สึกหมดหนทาง ภายใต้การเกาะกุมของเขา ผิวของฉันราวกับมีตัวอะไรไต่ยั้วเยี้ย ตอนที่เราคบกัน แค่สัมผัสเดียวจากเขาก็เคยทำให้ฉันลุกโชนไปด้วยความปรารถนาและความตื่นเต้น แต่ทั้งหมดที่ฉันรู้สึกได้ในตอนนี้มีเพียงความโกรธเกรี้ยวและความรังเกียจอย่างที่สุด

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาที่ประตู เดวิดถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงร่างที่ขัดขืนของฉันขึ้นพาดบ่า

เบต้า รอยซ์ เพิ่งเดินเข้ามา เสียงของเขาเย็นชาและไร้ความรู้สึกพอๆ กับใบหน้าที่เรียบเฉย

“รถมาแล้ว พาตัวนางออกไปข้างนอก”

“ครับ ท่านพ่อ” แม้ลมหายใจของเขาจะหอบหนักไม่ต่างจากฉันจากเหตุการณ์ที่เกือบจะเกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาก็ยังคงรักษาท่าทีและสีหน้าที่สุขุมไว้ได้ขณะอุ้มฉันออกไปข้างนอก

ไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรนอีกต่อไป ฉันจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเล่า ฉันไม่มีวันคิดที่จะอ้อนวอนขอความเมตตาจากเดวิด ฉันหวังว่าตัวเองจะมองคนที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยให้ทะลุปรุโปร่งกว่านี้

มาทิลด้าอยากได้เขาก็เอาไปเถอะ ฉันไม่สนอยู่แล้ว ฉันก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่สายเกินไปกว่าเธอจะรู้ตัวว่าคนข้างกายเป็นคนแบบไหน

มีลูกน้องของลูเซียนสองคน ทั้งคู่สวมเครื่องแบบที่ประทับตราสัญลักษณ์หลวง ใบหน้าของพวกเขาแข็งกร้าวและไร้ความรู้สึก น่าเกรงขามจนน่ากลัว พวกเขาทั้งคู่ตัวสูงใหญ่มาก ชายคนหนึ่งอุ้มฉันขึ้นอย่างง่ายดายแล้วโยนฉันเข้าไปในเบาะหลังของรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เดวิดยืนอยู่ตรงนั้น สายตาที่ทั้งมืดมนและเต็มไปด้วยความครุ่นคิดของเขาจับจ้องมาที่ฉันขณะรถเคลื่อนตัวออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่อย่างน้อยก็ยังมีแก่ใจมายืนดูตอนที่พวกเขาพาฉันไป ไม่มีสมาชิกในครอบครัวของฉันคนไหนมาบอกลาเลยสักคน แม้ว่านี่อาจเป็นการเดินทางไปสู่ความตายของฉันก็ตาม

พวกเขาไม่ใส่ใจฉันเลยจริงๆ

การเดินทางสู่อาณาเขตของฝูงนั้นยาวนานและเงียบสงัด พวกผู้ชายแทบจะไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของฉันที่เบาะหลัง พวกเขาแทบจะไม่พูดอะไรกันเลยสักคำ ท้องฟ้ายิ่งมืดสนิทเมื่อเราเข้าใกล้อาณาเขตของอัลฟ่าลูเซียน ประตูเหล็กบานยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

หัวใจของฉันเต้นระรัวอยู่ในอก ขาอ่อนแรงแทบจะล้มพับลงไปกองกับพื้นตอนที่ก้าวลงจากรถเพื่อเผชิญหน้ากับอาคารขนาดมหึมาตรงหน้า มันเป็นอาคารที่ใหญ่และสูงที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา ยอดหอคอยสูงเสียดฟ้าแทรกผ่านหมู่เมฆสีคล้ำดุจควันยามค่ำคืน รอบๆ อาณาเขตแห่งนี้แทบจะไม่มีดาวบนท้องฟ้าเลย ทุกสิ่งทุกอย่างดูมืดมนและน่าหดหู่

สาวใช้สองคนเดินเข้ามาหาฉัน คนหนึ่งรีบยกกระเป๋าเดินทางของฉันลงจากรถทันที แล้วทั้งสองก็โค้งคำนับให้กับชายคนหนึ่งที่มารับฉัน ฉันสังเกตเห็นว่าชายคนนี้มีเครื่องหมายบนเครื่องแบบมากกว่าอีกคน ทั้งยังมีผมยาวสีบลอนด์สวย “ยินดีต้อนรับค่ะ ท่านเบต้าลูคัส”

เบต้า

เขาคือเบต้าของอัลฟ่าลูเซียน

ส่วนอีกคนที่อุ้มฉันมาจากเดวิดนั้นเงียบขรึมและแทบไม่สนใจพวกสาวใช้เลย เขานำรถไปเก็บที่โรงรถตามลำพังอย่างเงียบๆ เขาคงจะเป็นแค่ยามหรือไม่ก็คนขับรถ

“พาตัวเธอไปชำระล้างร่างกายแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ก่อนที่จะเข้าเฝ้าท่านอัลฟ่า” เขาพูดเพียงประโยคเดียว แต่ก็ทรงพลังพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกปั่นป่วนในท้องด้วยความกลัว

เมื่อพวกเธอโค้งคำนับอีกครั้ง เขาก็เดินจากไปโดยไม่ชายตามองฉันอีกเลย ราวกับว่าเขาได้ลืมเลือนฉันไปแล้ว ฉันเป็นใครกันถึงจะกล้าเรียกร้องให้เขามองมาอีกครั้ง ในเมื่อฉันเป็นแค่แม่พันธุ์คนหนึ่งเท่านั้น

สาวใช้ทำงานเงียบเชียบแต่รวดเร็วมาก ภายในหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็จัดของในห้องใหม่ของฉันเรียบร้อย ช่วยฉันอาบน้ำ แต่งตัว และแต่งหน้าจนสวยพร้อมสำหรับการเข้าเฝ้าท่านอัลฟ่า

ฉันมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกที่ดูแปลกตาไป ฉันอยู่ในชุดนอนเรียบๆ ที่บางเบาจนมองทะลุได้ ข้างใต้นั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากกางเกงชั้นในตัวจิ๋วบอบบาง ผมของฉันถูกปล่อยยาวและแสกกลาง แก้มอมชมพูถูกขับให้เด่นขึ้นด้วยบลัชออน

จะมีประโยชน์อะไรที่จะชื่นชมคนที่จ้องตอบกลับมาในกระจก? ฉันเป็นแค่แม่พันธุ์ มันก็เหมือนกับการขุนแกะให้อ้วนท้วนก่อนจะถูกนำไปเชือดนั่นแหละ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉันก็ถูกพาไปยังห้องของอัลฟ่าเพื่อรอการถูกเชือด

สาวใช้ทิ้งฉันไว้ตามลำพังหน้าประตูห้องของเขาหลังจากสั่งให้ฉันเคาะประตูและเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่ลังเล พวกเธอบอกว่าเขาไม่ชอบพูดซ้ำ

ปมในท้องของฉันยิ่งขมวดแน่นขึ้นขณะที่ฉันคิดจะวิ่งหนีไปจากทั้งหมดนี้ แต่ก็ได้แค่ฝัน มันเป็นไปไม่ได้

ฉันเคาะประตูแล้วกลั้นหายใจ

“เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบคำรามสั่ง และฉันก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะผลักประตูเข้าไป

ประตูบานนั้นปิดลงด้านหลังฉันอย่างกะทันหันจนฉันสะดุ้งสุดตัว

ทว่าในจังหวะนั้นเอง ฉันกลับชนเข้ากับบางอย่างที่อยู่ด้านหลัง ด้วยความตกใจ ฉันหันกลับไป และเลือดในกายก็พลันเย็นเฉียบ ใบหน้าซีดเผือดเมื่อสบเข้ากับดวงตาสองคู่ที่วาวโรจน์ดุจเปลวไฟกำลังจ้องลึกลงมาในตาของฉัน

ฉันถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ สัมผัสได้ถึงรัศมีอันน่าเกรงขามของเขาที่บีบรัดลำคอราวกับว่าเขากำลังบีบคอฉันอยู่

นี่น่ะหรือ? อัลฟ่าลูเซียน?

ผู้ชายคนนี้ห่างไกลจากคำว่าอัปลักษณ์นัก นั่นคือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัว

ผมของเขาสีเข้มและยาวสลวย ดวงตาสีเพลิงจ้องมองมาที่ฉันอย่างเย็นชา ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับสลักเสลาของเขาขมวดเข้าหากันอย่างไม่เป็นมิตร ขณะที่เขาไล่สายตาจากดวงตาของฉัน ลงมาสำรวจร่างกาย แล้วกลับขึ้นไปอีกครั้ง

ร่างกายของฉันสั่นเทิ้มเมื่อเห็นความสูงตระหง่านของชายผู้นี้ ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าเบต้าลูคัสสูงแล้วนะ แต่ผู้ชายคนนี้ตัวมหึมาเลยต่างหาก

หัวของฉันอยู่สูงแค่เพียงช่วงอกของเขาเท่านั้น เขากำลังเปลือยท่อนบน แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาดูใหญ่โตและน่าเกรงขาม เช่นเดียวกับแผงอกที่กว้างและแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถทำให้หัวของฉันแตกเป็นลูกมะพร้าวได้เลยถ้าหากฉันชนแรงกว่านี้ตอนที่สะดุ้ง

อัลฟ่าลูคัส

ฉันสงสัยว่าที่ผ่านมาผู้ชายคนนี้ฆ่าคนไปแล้วกี่คน

ทรมานคนไปแล้วกี่คน

และเขาวางแผนที่จะทำแบบเดียวกันกับฉันหรือเปล่า

ทันใดนั้น เขาก็กระตุกยิ้ม “ฉันชอบสิ่งที่ฉันเห็นนะ...” รอยยิ้มของเขาพลันหายไปเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันอีกครั้ง

“ถอดเสื้อผ้าซะ!” เขาสั่งด้วยเสียงดังกังวานที่ทำเอาสันหลังของฉันเย็นวาบ

บทก่อนหน้า
บทถัดไป