บทที่ 6 บทที่ 5 หรือยังติดอยู่ในฝัน
บทที่ 5 หรือยังติดอยู่ในฝัน
หลังจากจ่ายเงินให้กับพ่อค้า ซือเหยาก็รับห่อผ้ามาไว้ในมือ แต่ไป๋อวิ๋นบอกว่าเขาเจอกับคนไข้จึงต้องแวะคุยนางจึงเดินออกมาเรื่อย ๆ จนมาเจอเข้ากับร้านขายเครื่องประดับข้างทาง
ปิ่นอันหนึ่งดูคล้ายกับปิ่นที่อดีตสามีของนาง
เคยให้มาก ยิ่งมองดูก็ยิ่งเหมือน
“แม่นางสนใจปิ่นอันนี้หรือ หน้าตาสวย ๆ อย่างนาง ข้าว่าเหมาะกับปะการังแดงมากกว่า แพงกว่าเพียงแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ดูดีกว่าปิ่นอันนั้นเยอะ”
แม้จะได้ยินคำนั้น แต่สายตาของนางก็ยังไม่ละไปจากปิ่นไม้แกะสลักลายดอกเหมย แม้จะดูสวยงามด้วยหินที่ประดับแต่เมื่อวางอยู่กับปิ่นเงิน และปิ่นหยกที่แกะสลักอย่างวิจิตรก็ทำให้รู้ว่าปิ่นไม้อันนั้นช่างไร้ค่า...เหมือนกับตัวนาง
“เหยาเอ๋อร์...เจ้าชอบหรือไม่” ปิ่นไม้แกะสลักเป็นลายดอกเหมย แซมด้วยลูกปัดเม็ดเล็ก ๆ ที่หากมองผ่าน ๆ ก็ดูงดงาม แต่หากมองให้ชัด ลูกปัดพวกนั้นหาได้เป็นวัสดุที่ดี เป็นเพียงหินขัด ส่วนปิ่นไม้ก็ไม่ใช่เงิน ทอง หรือหยก แต่เป็นเพียงไม้แกะสลักแล้วเคลือบสีทองบาง ๆ ก็เท่านั้น
“ชอบเจ้าค่ะ” ซือเหยาในตอนนั้นยิ้มให้กับปิ่นที่สามีปักให้ที่ผม นางชำเลืองมองมันจากกระจกทองเหลือง ความเลือนของกระจกทำให้มองเห็นมันเป็นปิ่นทองสวยงาม นางเห็นเขาเป็นคุณชาย คิดว่ามันต้องมีค่ามาก
ไม่ได้รู้เลยว่าปิ่นนั้นก็เหมือนน้ำใจของชายผู้นั้นที่มีให้กับนาง เปราะบาง และหาได้ใส่ใจ
และวันหนึ่งทองที่เคลือบเอาไว้ก็หลุดลอกออก รวมถึงหินที่แสร้งทำตัวเป็นอัญมณีก็แตกออกเป็นผง เหมือนความรู้สึกของนาง จะเสียความรู้สึกก็ตรงนางดูเหมือนคนโง่ต่อหน้าอีกฝ่าย
“เจ้าชอบปิ่นหรือ” เสียงของไป๋อวิ๋นทำให้ซือเหยาหลุดออกจากความนึกคิด
“ข้าเป็นหญิงเห็นเครื่องประดับก็แค่มอง”
ไป๋อวิ๋นมองไปยังปิ่นที่วางขาย เขาไม่ได้มองอันที่แพงที่สุด หรือถูกที่สุด แต่กลับหยิบเอาปิ่นเงินประดับปะการังแดงขึ้นมาทาบไปที่ผมของหญิงสาว
“อันนี้เหมาะกับเจ้า” ไป๋อวิ๋นกล่าวเสียงเรียบ พร้อมทั้งยื่นเงินให้กับพ่อค้า
“ท่านหมอเทวดา ไม่เพียงแค่รักษาคนเก่ง แต่ยังมีตาที่เฉียบแหลมอีกนะขอรับ” ไป๋อวิ๋นยิ้ม แต่ซือเหยาตั้งใจจะไม่รับ
“ข้าจ่ายเงินแล้ว อีกอย่าง ปะการังแดงทำให้คนมองแต่สิ่งที่ดี ๆ ข้าว่ามันเหมาะกับเจ้า”
เมื่อปฏิเสธไม่ได้หลินซือเหยาก็ตั้งใจจะเอื้อมมือไปรับปิ่นจากอีกฝ่าย แต่สัมผัสที่บางเบาบนผมก็ทำให้นางรับรู้ว่าไป๋อวิ๋นค่อย ๆ เสียบปิ่นเข้าไปที่มวยผมของนางแล้ว
“ดูเหมาะกับเจ้าจริง ๆ ด้วย” ซือเหยาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ดวงตาที่สบกันเพียงครู่เกิดประกายแปลก ๆ แต่ก็เป็นไป๋อวิ๋นที่หลบตาไปเสียก่อน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นอะไร ถ้าเทียบกับงานที่เจ้าช่วยข้าช่วงนี้ มันเทียบกันไม่ได้เลย ขายดีนะพ่อค้า”
“ขอรับท่านหมอเทวดา”
ไป๋อวิ๋นเดินออกไปก่อน หลิวซือเหยามองอีกฝ่าย แม้เมื่อครู่ในใจของนางจะสั่นไหวน้อย ๆ แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเก็บกดมันเอาไว้ นางเคยโง่เง่ามามากพอแล้วในเรื่องความรัก ครั้งนี้นางจะไม่เผลอไผลไปกับความใจดีของใครอีก
เปลวไฟส่องสว่าง เสียงกระดาษถูกเผาดังอยู่ข้างหู ข้าง ๆ นั้นมีสาวใช้คนสนิทกำลังภาวนาให้ผู้เป็นนาย ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยมีความสุข
“พระชายาข้าขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย” เสียงของสาวใช้สั่นเครือ หยาดน้ำตาร่วงหล่นตรงหน้าของเซ่นไหว้เล็ก ๆ และหลุมศพจำลอง
“ข้ายังไม่ตาย เจ้าไม่ต้องร้อง” หลินซือเหยาพยายามจะบอกกับสาวใช้ตน แต่นางเหมือนถูกดึงออกมาไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าไม่ต้องร้อง”
เสียงที่อยู่ในความฝันดังออกมาด้านนอก ไป๋อวิ๋นได้ยินเสียงละเมอของหญิงสาว
นางตัวเกร็ง ผ้าห่มถูกกำแน่น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามไรผม
ไป๋อวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ เตียง ปกติเขาไม่เคยเปิดฉากไม้ที่กั้นระหว่างเขาและอีกฝ่ายเข้ามาส่วนนี้อีกเลยนับตั้งแต่นางหายป่วย แต่ยามนี้
“เจ้า ตื่นเถอะ ฝันอะไรอยู่กันแน่” เขาเขย่าตัวหญิงสาวเบา ๆ “ตื่นเถอะ” แม้จะถูกรบกวน แต่หลินซือเหยาก็ยังคงหลงอยู่ในความฝันของตน
ไป๋อวิ๋นปลุกนางแรงขึ้น หญิงสาวรู้สึกตัวสะดุ้งเฮือกขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับลมหายใจหอบถี่และใบหน้าที่อยู่ห่างจากชายหนุ่มไม่ถึงคืบ
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ข้าได้ยินเสียงเจ้าละเมอ” ซือเหยาขยับตัวออกห่าง เช่นเดียวกันกับไป๋อวิ๋น
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ แค่ฝันร้าย”
“เจ้าจำได้แล้วหรือ” ไป๋อวิ๋นไม่อยากจะถามอย่างนี้ แต่หากมันช่วยให้อีกฝ่ายระบายความในใจที่ทำให้กังวลได้บ้างเขาก็ยินดีช่วย
ท่าทางลังเลและความเงียบทำให้เขารู้ว่าหญิงสาวยังไม่พร้อมจะเปิดใจ
“คงเป็นความทรงจำในช่วงที่เจ้าไม่รู้สึกตัวนั่นแหละ นอนพักผ่อนเถอะ” ชายหนุ่มสรุปเพื่อให้หญิงสาวสบายใจ และก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
สักวันหากนางต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ก็คงจะบอกกับเขาเอง แต่วันนั้นคงยังไม่ใช่ตอนนี้
“ข้าขอโทษที่เข้ามาในฉากกั้น เพราะเสียงเจ้าดูทรมาน”
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ” ไป๋อวิ๋นพยักหน้าแล้วเดินหลบหายไปหลังฉาก
ซือเหยามองตามแผ่นหลังแกร่ง นางพยายามจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนางกับหลี่อวิ้นรุ่ย เมื่อไม่ได้กลับบ้านเกิด นางเลือกที่จะบอกไป๋อวิ๋นว่านางจำสิ่งใดไม่ได้ อีกฝ่ายก็ไม่ถามและไม่พูดถึง แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่กลับดูแลนางเป็นอย่างดี ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือ
เขาไม่เคยถามว่านางเป็นใคร
นางบอกเขาว่านางจำอะไรไม่ได้ และเขาก็เพียงแค่พยักหน้า ไม่ซักไซ้ ไม่เคยแม้แต่จะสงสัย ไม่เคยพูดว่าพบนางที่ใด ไม่แม้แต่จะพยายามตั้งชื่อใหม่ให้นางเหมือนที่ใครหลายคนอาจทำ
มันราวกับว่า… ไม่ว่านางจะเป็นใคร มาจากที่ใด เขาก็ไม่ได้สนใจ
ซือเหยาไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกเช่นไรกับเรื่องนี้ นางควรรู้สึกขอบคุณเขาหรือควรรู้สึกกังวลกันแน่
เพราะหากไม่มีชื่อ… หากไม่มีอดีต นางก็แทบจะเป็นเพียงคนไร้ตัวตน
นางต้องการสิ่งนี้จริงหรือ
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ในใจเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นางพยายามลืม พยายามผลักไสความรู้สึกขมขื่นที่กัดกินหัวใจ แต่ยิ่งพยายามเท่าไร เงาของเขาก็ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่จางหาย
ซือเหยาเผลอกำมือแน่น ความเจ็บแปลบแล่นผ่านหัวใจ นางมองไป๋อวิ๋นอีกครั้ง ชายหนุ่มดูสงบนิ่งเสมอ เขาไม่เคยถามอะไรจากนาง ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบังคับ
แตกต่างจากหลี่อวิ้นรุ่ยโดยสิ้นเชิง
นางค่อย ๆ หลับตาลง สูดหายใจเข้า ราวกับหวังว่าลมหายใจนี้จะพัดพาความเจ็บปวดทั้งหมดไป
ถ้าหากไร้ซึ่งอดีตจะทำให้นางเจ็บปวดน้อยลง
