บทที่ 1 คนละฟากฟ้า (25%)
บ้านเลขที่ 99/99 สีลม กรุงเทพมหานคร
คนที่ผ่านไปมาย่านนี้ต่างก็มองป่าเขียวขจีด้วยความแปลกใจ ในพื้นที่ทำเลทองของเมืองหลวงเช่นนี้ ใครล่ะจะคิดว่ายังมีป่ากลางเมืองได้ และที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคือมีบ้านทรงไทยสไตล์ล้านนา ทำด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์บนพื้นที่กว่าสามไร่ บ้านหลังงามที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่น ดูกลมกลืนมองแล้วเป็นเหมือนป่ามากกว่าที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของผู้มีอันจะกิน
ด้วยความที่สมาชิกภายในครอบครัวทุกคนรักในความเป็นไทยแท้ การตกแต่งทุกอย่างจึงเป็นแบบไทยๆ เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้าน สวนดอกไม้ สนามหญ้า สระเลี้ยงปลา และศาลากลางน้ำ ยกเว้นก็แต่ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ขนาดย่อม ที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนของหลังบ้าน ซึ่งประมุขของบ้านตั้งใจสร้างให้บุตรสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เพราะเห็นพรสวรรค์ในเรื่องวิทยาศาสตร์ของลูกที่ฉายแววตั้งแต่ยังเล็ก จึงส่งเสริมเธอในทุกรูปแบบ
สิ่งปลูกสร้างอันประณีตวิจิตรตระการตาทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นดั่งวิมานบนดินสำหรับสมาชิกในครอบครัวดิลกรัตนกุล เพราะมันล้วนอบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่น ที่คนในครอบครัวต่างหยิบยื่นให้แก่กัน
ปัจจุบันสมาชิกในครอบครัวหลงเหลืออยู่เพียงแค่สองคน นั่นก็คือประมุขของบ้าน นายบริรักษ์ ดิลกรัตนกุล ชายวัยห้าสิบห้าปี พ่อหม้ายภรรยาตายตั้งแต่ลูกสาวอายุได้เพียงสิบขวบ มหาเศรษฐีผู้ติดอันดับท็อปเท็นห้าปีซ้อนของเมืองไทย ทั้งในเรื่องทรัพย์สินที่ถือครองและการบริหารงานในองค์กรเป็นเลิศ เขากุมบังเหียนบริษัทดิลกรัตน์ อิมพอร์ต ซึ่งเป็นผู้นำเข้ายานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย ถึงวัยจะล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงเลขหกแล้ว แต่นายบริรักษ์ก็ยังคงเค้าความหล่อเหลาและภูมิฐานไว้ให้ได้เห็นเฉกเช่นสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม
ส่วนอีกหนึ่งชีวิตที่อาศัยอยู่ภายใต้ชายคาอันอบอุ่นแห่งนี้ก็คือ บุตรสาวและทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล นางสาวบุปผชาติ ดิลกรัตนกุล หรือยัยหนูแก้ม สาวน้อยมหัศจรรย์ วัยยี่สิบเอ็ดปี ผู้เป็นสุดยอดแห่งความอัจฉริยะ ไอคิวสูงเสียดฟ้า สุดเฉิ่ม ผมสั้น ใส่แว่นตาหนาเตอะ และพ่วงมาด้วยตำแหน่งวิศวกรสาวผู้มากความสามารถอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เธอผู้ไม่เคยสนใจโลกภายนอก จะสนก็แต่เครื่องยนต์กลไกและงานวิจัยระดับชาติเท่านั้น สำหรับความรักแบบหนุ่มสาวน่ะเหรอ อย่าถามถึงมันเลย เพราะคนอย่างบุปผชาติไม่เคยสัมผัสมันด้วยซ้ำในชีวิต
“เย้ๆๆ ดีใจจังเลย ในที่สุดฝันของแกก็เป็นจริงแล้วยัยแก้มเอ๋ย” น้ำเสียงลิงโลดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเวลานี้เจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ไหน
บุปผชาติกำลังกระโดดโลดเต้น ร้องเฮลั่นบ้าน ด้วยความดีอกดีใจ ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Professional Enterprise and Development ติดต่อมาขอซื้อตัวเธอไปร่วมงาน บริษัทดังกล่าวเป็นผู้ผลิตรถเเข่งและเครื่องบินระดับโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ถึงแม้บริษัทนี้จะเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ก็สามารถผงาดติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก เพราะทางบริษัททุ่มทุนกว้านซื้อตัววิศวกรและนักวิทยาศาสตร์มากความสามารถจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยความไม่หยุดยั้งในการพัฒนา ทดลองหานวัฒตกรรมใหม่ๆ โดยได้รับแนวคิดสร้างสรรค์จากบุคลากรหัวกะทิระดับโลก จึงทำให้องค์กรสามารถเบียดคู่แข่ง ขึ้นมาแย่งพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างเต็มภาคภูมิ
“ป๊ะป๋าจ๋า ป๊ะป๋าอยู่ไหนเอ่ย?” บุปผชาติร้องตะโกนเสียงใสเรียกหาบิดา พร้อมสอดส่ายสายตาที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นไปทั่วบริเวณบ้าน
“ป๋าอยู่นี่ยัยหนู มีอะไรลูก เสียงดังไปถึงหน้าบ้านเชียว” ผู้ที่เพิ่งมาจากวิ่งออกกำลังกายรับอรุณเลิกคิ้วถามบุตรสาวด้วยความแปลกใจ เพราะเสียงของเธอดังมาก
ทั้งที่เจ้าตัวไม่มีนิสัยพูดจากระโชกโฮกฮากหรือเอะอะโวยวาย แต่ตรงกันข้ามกลับพูดจาไพเราะอ่อนหวานสมกับเป็นกุลสตรีไทย ใสซื่อบริสุทธิ์ มีใบหน้ากระจ่างผุดผาด ดวงเนตรสุกสกาวดั่งดาวที่พราวพร่างอยู่กลางนภา ประกอบกับทรวดทรงอันดูสมส่วน ทั้งที่รูปร่างหน้าตาออกจะสะสวยและน่ารักสมวัย ทว่าบุปผชาติกลับชอบแต่งตัวปกปิดความงดงามของตัวเองด้วยการใส่เสื้อผ้าเชยๆ และสวมแว่นตาหนาเตอะ
คนภายนอกอาจจะมองว่าเธอดูนิ่งๆ ซื่อๆ ทว่าที่จริงแล้วอ้อนเก่งซะไม่มี แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้บิดาหลงบุตรสาวสุดที่รักจนหัวปักหัวปำ
“แก้มมีอะไรจะให้ป๊ะป๋าดูค่ะ แต่น…แต่น…แต๊น…” รอยยิ้มเต็มใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราและน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีจนปิดไม่มิดยิ่งทำให้บิดาสงสัยเข้าไปใหญ่
“ห๊ะ!!! ยะ…ยัยหนูสมัครไปตั้งแต่ตอนไหนลูก?” ผู้เป็นพ่อตกใจจนหน้าซีด เมื่อเห็นสิ่งที่ลูกสาวภูมิใจนำเสนอ ด้วยน้ำเสียงลิงโลด นี่ลูกเขาแอบส่งโปรไฟล์ไปพรีเซนต์ตัวเองกับบริษัทชั้นนำของโลก และทางนั้นก็สนใจจะซื้อตัวเธอ แต่ที่มันแย่ไปกว่านั้นคือบุปผชาติดันตอบตกลงซะด้วยนี่สิ นายบริรักษ์คิดว่าลูกสาวจะแค่พูดเล่นๆ แต่เธอกลับทำจริงได้ซะนี่ แล้วพ่ออย่างเขาจะทำใจให้ลูกจากอกได้ยังไงไหว
“ป๊ะป๋าขา…หนูขอไปทำงานนี้นะคะ” บุปผชาติขออนุญาตบิดาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“ไม่ได้! ยังไงป๋าก็ไม่ยอมเด็ดขาด!” ผู้เป็นพ่อปฏิเสธน้ำเสียงเฉียบขาด เผลอตวาดดังลั่นจนลูกสาวสะดุ้งสุดตัว
เมื่อบุปผชาติเห็นว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผลจึงแสร้งบีบน้ำตาคลอเบ้า ปั้นสีหน้าให้ดูเศร้าสลดและผิดหวังเสียใจสุดขีด ทำเอาผู้เป็นพ่อใจหายวาบ
“ฮึก…คุณป๋าไม่รักแก้มแล้ว” เสียงพูดขาดเป็นห้วงๆ เพราะแรงสะอื้น สาวน้อยมักงัดมารยาเล็กๆ ออกมาใช้กับบิดาเสมอ เพราะรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วท่านต้องยอมใจอ่อน
“เอ่อ…ยัยหนูฟังป๋านะลูก ลูกจะไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวได้ยังไง” เมื่อเห็นน้ำตาลูกสาวคนเป็นพ่อก็หัวใจกระตุก รีบผ่อนน้ำเสียงให้อ่อนลงกว่าเดิมทันที
“ได้สิคะ ลูกสาวป๊ะป๋าโตแล้วนะ” บุปผชาติยืนยันกับบิดาด้วยความมั่นอกมั่นใจ เพราะตอนนี้เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว และก็จบด็อกเตอร์ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย ตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบปี ฉะนั้นเธอจึงมั่นใจว่าสามารถดูแลตัวเองได้
“ถึงลูกจะโตแล้ว แต่ลูกก็ยังเป็นเด็กสำหรับป๋าเสมอนะแก้ม” ในสายตาของนายบริรักษ์บุตรสาวของเขาช่างไร้เดียงสายิ่งนัก
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอแทบจะไม่ได้ไปไหนมาไหนคนเดียวเลยด้วยซ้ำ จะไปไหนแต่ละทีก็ต้องมีบอดี้การ์ดคอยติดตามคุ้มครองตลอดไม่ห่างกาย จะปล่อยให้ขับรถไปเองเฉพาะเวลาไปเรียนเท่านั้น แล้วนี่จะไปเผชิญโลกกว้างเพียงลำพัง เขาไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไง เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงจนหัวใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย
หลังจากนั้น สองพ่อลูกก็นั่งโต้แย้งกัน ครั้งนี้บุปผชาติยอมพ่อไม่ได้จริงๆ เพราะข้อเสนอของทางบริษัทช่างหอมหวานยั่วยวนใจยิ่งนัก สิ่งที่เธอต้องการจากสัญญาสองปี ไม่ใช่จำนวนตัวเลขที่ทางฝรั่งเศสเสนอมาให้เป็นค่าตัว แต่มันคือประสบการณ์อันล้ำค่าครั้งหนึ่งในชีวิตซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหนต่างหากล่ะ
ยิ่งรู้ว่าตนจะได้ไปทำงานใน New Model ของรถแข่งฟอร์มูล่าวันและเครื่องบินเจ็ทรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทางบริษัทได้วางแพลนว่าจะเปิดตัวภายในสองปีนี้ บุปผชาติก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลงเลยสักนิด เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาโดยตลอด ใครล่ะจะไม่อยากไปร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่รวมเอายอดอัจฉริยะบุคคล ผู้มีไอคิวสูงและเก่งกาจ มาไว้ในองค์กรเดียวกัน ยิ่งคิดยิ่งน่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับสาวเฉิ่มจอมอัจฉริยะอย่างบุปผชาติ ดิลกรัตนกุล






























































































































