บทที่ 2 บทที่ 2

บทที่ 2

“ขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะ นี่เป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในปีนี้ของหนูเลย” จันทริกาบอกเสียงสั่น เช่นเดียวกับแววตาที่เจือความเศร้าเอาไว้นิดๆ แต่ก็เพียงแวบเดียวเธอก็คลี่ยิ้มให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก

“วันนี้วันเกิดเราเหรอ”

“ค่ะ...หนูต้องไปแล้วนะคะ ขอบคุณพี่จริงๆ พี่ใจดีมากค่ะ”

จันทริกายกมือขึ้นไหว้ผู้ชายที่รูปร่างสูงเกือบหกฟุตนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากร้านเค้ก รังสิมันต์รีบขยับตามออกมาติดๆ อยากจะเดินตามไปอีกแต่ก็ทำได้แค่ยืนมอง จนกระทั่งเขาเห็นว่าเธอเดินผ่านประตูหน้าห้างออกไปแล้ว เขาจึงได้รำพึงกับตัวเองในใจ

เด็กอะไรวะน่ารักชะมัด หน้าสวย ยิ้มหวาน ฟันก็ขาวเป็นระเบียบราวกับเม็ดไข่มุก ปากนิดจมูกหน่อยรับกันลงตัวไปหมด โดยเฉพาะปากสีชมพูอิ่มเอิบอย่างคนสุขภาพดีกับแก้มใสๆ นั้น มันชวนให้คิดว่า หากเขากดจมูกลงไปสูดเอาความหอมและรสชาติความละมุนจากผิวขาวๆ นั้น มันจะให้ความรู้สึกที่วิเศษสักแค่ไหน

คิดบ้าอะไรวะตะวัน! เด็กนั่นอย่างมากก็น่าจะอายุแค่สิบแปด ส่วนเขาปีนี้ก็เกือบจะสามสิบแล้ว อายุห่างกันเป็นรอบได้มั้ง แถมเขายังมีสาวๆ สวยๆ หมวยๆ ขาวๆ เอ็กซ์ๆ อึ๋มๆ เข้าแถวมาให้เลือกเยอะแยะเป็นหางว่าว แต่เสือกคิดอกุศลกับเด็กมัธยม แม่ง! ถ้าไม่เรียกว่าโคตรเลวจะเรียกว่าอะไร

ร่างบางในชุดนักเรียนมัธยมปลายปั่นจักรยานคันกลางเก่ากลางใหม่ออกจากห้างสรรพสินค้า แต่เย็นนี้เด็กสาวไม่ได้ตรงกลับบ้านเหมือนเคย จุดหมายปลายทางของเธออยู่ที่ทะเลสาบท้ายหมู่บ้าน ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ใช่ทะเลสาบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นแหล่งน้ำที่โครงการบ้านจัดสรรได้ขุดไว้มาเกือบสิบปีแล้ว

จันทริกาจอดจักรยานไว้ใต้ต้นไม้ ก่อนจะขยับไปหยิบเอาถุงเค้กซึ่งวางรวมอยู่กับกระเป๋านักเรียนในตะกร้าหน้ารถออกมา แล้วพาตัวเองไปยืนพิงต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น

สายลมเย็นๆ พัดเอื่อยๆ เช่นเดียวกับระลอกคลื่นเล็กๆ ที่วิ่งไหวไปตามทิศทางของสายลม คล้ายดั่งธรรมชาติเหล่านี้มีมนตร์วิเศษที่สามารถปัดเป่าเอาความหมองหมางไปจากหัวใจดวงน้อยของเธอได้ นี่เองคือเหตุผลที่จันทริกาชอบมาที่นี่เวลามีเรื่องไม่สบายใจ

ความจริงแล้วเธอไม่เคยรับรู้นิยามของคำว่าสบายใจและความสุขมานานมากแล้ว นับตั้งแต่แม่ของเธอตายเมื่อหลายปีก่อน  ตาคู่สวยหลับพริ้มลง เพื่อนึกถึงภาพแห่งความทรงจำวัยเด็กในบ้านไม้สองชั้นหลังกลางเก่ากลางใหม่ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้จะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนห้อมล้อม ทว่าแค่มียาย พ่อ และแม่ มันก็มากพอแล้วสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ

บ้านหลังนั้นอยู่ที่กรุงเทพฯ...ห่างไกลเหลือเกินกับจังหวะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อเป็นเด็กวัด แต่ขยันและเรียนเก่ง จนสามารถจบปริญญาตรีทางด้านบัญชีจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ได้พบรักกับแม่ซึ่งทำงานในบริษัทเดียวกัน แม่เป็นลูกสาวคนเดียวของยาย หลังจากแต่งงานกันแล้ว พ่อก็ย้ายมาอยู่กับแม่และสร้างครอบครัวเล็กๆ ขึ้นด้วยกัน โดยมีเธอเกิดมาเป็นพยานรัก

ความสุขเหล่านั้นค่อยๆ เลือนหาย นับตั้งแต่ยายเสียไปตอนเธออายุได้เจ็ดขวบ และสิ่งที่ทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องเคว้งคว้างเหมือนอยู่บนเรือลำน้อยที่ถูกคลื่นซัดแตกกลางมหาสมุทรอันเชี่ยวกราก นั่นก็คืออีกห้าปีต่อมา แม่ของเธอก็หนีเธอไปอยู่กับยายบนสวรรค์

ตอนนั้นเธอทั้งร้องไห้และทั้งตัดพ้อว่าแม่ใจร้ายที่ทิ้งเธอไป ทิ้งให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่กับพ่อตามลำพังบนโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ มันทำให้เธอหวาดกลัวความตาย หวาดกลัวว่ามันจะพรากคนที่เธอรักไปอีกคน ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่พ่อคนเดียวแล้ว

พ่อเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอนับตั้งแต่แม่ตายไป เธอรักพ่อมาก แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกว่าพ่อรักเธอน้อยลง

มันน้อยลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ที่พ่อแต่งงานใหม่ ขายบ้านหลังเล็กๆ ที่เคยอยู่กันอย่างมีความสุข แล้วพาเธอย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่กับภรรยาใหม่ของพ่อ

เธอไม่เคยมีความสุขเลยกับการอยู่บ้านหลังใหม่แบบทาวน์เฮาส์สองชั้น ซึ่งแม้จะใหญ่และหรูหรากว่าบ้านหลังเดิม แต่มันกลับเต็มไปด้วยความอ้างว้างเดียวดาย และหาความอบอุ่นแทบจะไม่ได้เลย

วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ แต่พ่อก็ลืมที่จะอวยพร เมื่อเช้าพ่อรีบร้อนออกไปทำงานแต่เช้า คล้ายดั่งเป็นวันปกติทั่วไป

น้ำตาหยดใสๆ รื้นขึ้นคลอหน่วยตาอย่างน้อยใจ เมื่อคิดว่าพ่อลืมแม้กระทั่งวันสำคัญของเธอ เธอคิดถึงแม่...คิดถึงเหลือเกิน อยากจะกอดและซุกหาไออุ่นๆ นั้นให้หัวใจที่อ่อนแออยู่ตอนนี้กลับมาเข้มเข็ง

มือเล็กเปิดกล่องเค้กที่ตัดแบ่งมาเป็นชิ้นขึ้นมาตรงหน้า มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงใสๆ จะขับขานเพลงอวยพรวันเกิดออกมาเบาๆ แต่เสียงเล็กๆ นั้นกลับฟังดูสะท้านใจเหลือเกิน เพราะมันเจือไว้ด้วยความเหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยว

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู ยู

แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์

แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู...ยู”

‘สุขสันต์วันเกิดนะจันทร์ แม่รักหนูนะ’

นั่นคือเสียงอวยพรของแม่ที่เอ่ยในวันสำคัญของเธอทุกๆ ปี ก่อนที่แม่จะจากไป หลังจากนั้นมันก็เป็นเพียงเสียงที่ดังอยู่แค่ในความทรงจำเท่านั้น และเสียงอันอบอุ่นของแม่ก็แว่วดังขึ้นท่ามกลางความอ้างว้างอีกครั้ง หลังจากที่เธอร้องเพลงที่แม้แต่เด็กไร้เดียงสาก็ยังร้องได้นั้นจบ

“หนูคิดถึงแม่นะคะ”

เสียงพูดหวานใสพอๆ กับเสียงร้อง ถ้าไม่มีความเศร้ามาเจือปน วันนี้น่าจะเป็นวันที่เธอร้องเพลงเพราะมากที่สุดอีกวันหนึ่ง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป