บทที่สอง

มุมมองของอเล็กซานเดอร์

แบรนดอนไม่แม้แต่จะพูดขอบคุณ

ไม่ใช่ว่าผมคาดหวังหรอกนะ การทำแบบนั้นคงหมายความว่าเขายอมรับว่าผมเป็นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ทูดูลิสต์เดินได้ที่ถูกพัฒนามาเพื่อชงกาแฟให้โดยเฉพาะ

ผมยืนอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ประตูห้องทำงานของเขาวินาทีหนึ่ง ชั่งใจว่าจะเตือนเขาเรื่องประชุมกับคณะกรรมการตอนสิบโมงดีไหม แต่เขากลับไปพิมพ์งานต่อแล้ว ขบกรามแน่น ขมวดคิ้วมุ่นในแบบที่ทำให้ผมคิดว่าเขากำลังแก้ปัญหาความอดอยากของโลก หรือไม่ก็กำลังร่างอีเมลฉบับเผ็ดร้อนอยู่

น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า แบรนดอน โคล ไม่ยุ่งเรื่องความอดอยาก มื้อกลางวันเขายังแทบไม่กินเลยด้วยซ้ำ ผมมั่นใจเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยว่าเขาใช้ความเครียดสังเคราะห์แสงแทนอาหาร

ผมก้าวออกมาแล้วปล่อยให้ประตูปิดตามหลัง พิงผนังพร้อมกับถอนหายใจ หกสัปดาห์แล้ว ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคนคนหนึ่งจะ... เคร่งขรึมได้ตลอดเวลาขนาดนี้ได้ยังไง มันเหมือนทำงานให้พายุคลั่งในชุดสูทแบรนด์เนม

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเดียว ปัญหาคือการที่ผมคิดว่าเขาโคตรจะฮอตและต้านทานไม่ไหวต่างหากที่ยังกวนใจผมอยู่

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คตารางงานของวัน ประชุมติดๆ กัน โทรคุยกับสาขาโตเกียว มื้อกลางวันกับนักลงทุนที่อาจจะมาร่วมทุน—ขีดฆ่าทิ้งไปเลย เป็นมื้อกลางวันที่ผมต้องไปรับมาให้แบรนดอนกินที่โต๊ะทำงานพร้อมกับทำหน้าบึ้งใส่ตัวเลขประมาณการรายไตรมาส

อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมีอะไรทำ

ผมเดินผ่านมีอาระหว่างทางไปโต๊ะทำงาน เธอเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอย่างที่คุ้นเคย

“เขากินกาแฟแล้ว” ผมบอก

“ไม่มีบ่นเหรอ”

“คำเดียว ‘พอรับได้’ ผมกะว่าจะเอาคำนี้ไปปักใส่หมอนอิงซะหน่อย”

เธอพ่นลมหายใจพรืด “ฟังดูเป็นคำชมขั้นสูงสุดแล้วนะ ถ้ามาจากเขาน่ะ”

“รู้อะไรไหม เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนหนังหนา” ผมพูดพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ “ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้ว”

“นายก็ทนได้นานกว่าคนอื่นๆ ทุกคนนะ นั่นก็บอกอะไรได้เยอะแล้ว”

“ใช่ แต่ต้องแลกกับอะไรล่ะ”

เธอส่งสายตารู้ทันมาให้ “มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนอย่างเดียวใช่ไหมล่ะ”

ผมกะพริบตา “หมายความว่าไง”

เธอยิ้มมุมปาก “ไม่เอาน่า อเล็กซ์ คิดว่าพวกเราไม่สังเกตเห็นเหรอ หูนายแดงไปหมดเวลาเขาอยู่ในห้องน่ะ”

ผมลูบท้ายทอย รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันที “ผมไม่ได้เป็นซะหน่อย”

“เป็นสิ น่ารักดีออก”

“ผมไม่น่ารัก”

“จ้า” เธอบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง “ไปบอกหน้าตัวเองตอนจ้องเขาราวกับว่าเขาเป็นสิ่งเดียวที่น่ามองบนโลกใบนี้เถอะ”

“ผมไม่ได้จ้อง” ผมโกหก

โอเค บางทีผมอาจจะจ้อง แต่มันไม่ใช่ความผิดของผมนี่ที่เขาดูเหมือนนายแบบคาลวินไคลน์ที่โดนวิญญาณเจ้าหน้าที่สรรพากรสิง

ผมกระแอมแล้วหันไปจ้องจอคอมพิวเตอร์ แกล้งทำเป็นเช็คตารางห้องประชุม “เขาเป็นเจ้านายผม แค่นั้นแหละ มันไม่มีอะไรทั้งนั้น”

“จ้า” มีอาพูดซ้ำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

ประเด็นคือ... มันไม่มีอะไรจริงๆ อย่างน้อยก็สำหรับแบรนดอน เขาแทบไม่มองผมด้วยซ้ำนอกจากตอนที่ผมทำอะไรพลาด หรือตอนที่เขาต้องการกาแฟ หรือต้องการให้ผมอยู่ดึกอีกครั้งเพื่อจัดระเบียบโน้ตของเขาเพราะเขาไม่เชื่อในระบบการจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล

แต่ถึงแม้ตอนที่เขามองผม มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ไม่มีแววตาของความสนใจแม้แต่น้อย ไม่มีน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ไม่มีการแอบมองลับหลัง

ถ้าจะมีอะไร ก็คงเป็นผมที่ทำให้เขารู้สึกเบื่อด้วยซ้ำ

ถึงอย่างนั้น ตอนที่ผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในหน้าจอที่มืดสนิท ผมก็จัดปกเสื้อให้เข้าที่

เผื่อไว้ก่อน

ช่วงเช้าที่เหลือผ่านไปอย่างรวดเร็วกับการปรับเปลี่ยนปฏิทิน คัดแยกอีเมล จัดตารางประชุมฝ่ายกฎหมายใหม่เป็นครั้งที่สาม และประสานงานเรื่องการจัดส่งโปรตีนบาร์ราคาแพงของโปรดของแบรนดอนแบบเซอร์ไพรส์ ผู้ชายคนนี้มีเมนูอาหารที่ทำให้นักบินอวกาศดูเหมือนพวกกินหรูอยู่สบายไปเลย

ตอนเที่ยงตรง ผมลงไปรับอาหารกลางวันของเขา—ปลาแซลมอนย่าง ผักนึ่ง ไม่ใส่น้ำมัน ไม่ใส่เกลือ และไร้วิญญาณ—แล้วนำกลับขึ้นมาพร้อมกับส้อมพลาสติกและน้ำเปล่าหนึ่งขวด

ผมเคาะประตูครั้งหนึ่ง แล้วก้าวเข้าไปข้างใน

เขาไม่เงยหน้าขึ้นมอง “วางไว้บนโต๊ะ”

ผมทำตาม “คุณน่าจะลองเคี้ยวหมากฝรั่งดูบ้างนะ เอาสนุกๆ เผื่อมันจะเป็นรสชาติเดียวในชีวิตคุณ”

ยังคงไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยเท่านั้น

“ผมไม่ได้จ้างคุณมาวิจารณ์อาหารของผม”

“คุณก็ไม่ได้จ่ายเงินผมมากพอที่จะให้ทนทุกข์เงียบๆ หรอกนะ” ผมสวนกลับไป

ฉิบหาย! ผมพูดออกไปเสียงดังเลยใช่ไหมเนี่ย นี่ผมจะโดนไล่ออกแบบนี้เหรอ หกสัปดาห์ที่ผ่านมาจะสูญเปล่าหมดเลยเหรอเนี่ย!

นั่นทำให้เขาชะงัก

แค่เพียงวินาทีเดียว แต่ผมเห็นมัน—บางอย่างในสีหน้าของเขาที่วูบไหวขึ้นมา แทบจะมองไม่ทัน ก่อนที่มันจะหายไปอีกครั้งราวกับภูตผี

เขาไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น แค่หันกลับไปที่หน้าจอแล้วพิมพ์งานต่อ

ผมออกจากห้องแล้วปิดประตูอย่างเงียบเชียบ หัวใจเต้นระรัวเป็นบ้าอยู่ในอก

มันไม่มีอะไรหรอก คงเป็นแค่อาการอาหารไม่ย่อย

ไม่ก็คิดไปเอง

บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง

พอถึงห้าโมงเย็น ออฟฟิศก็เริ่มว่าง มีอาโบกมือลาตอนที่เธอเดินออกไป แต่ผมยังคงอยู่ที่โต๊ะ ตรวจสอบกำหนดการเดินทางสำหรับทริปของแบรนดอนในสัปดาห์หน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของเขาจนกระทั่งน้ำเสียงของเขาทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากสภาพกึ่งโคม่าที่เกิดจากการจ้องสเปรดชีต

“คุณยังอยู่อีก”

ผมสะดุ้งเล็กน้อย รีบย่อหน้าจอลง “เอ่อ ครับ พอดีอยากจัดการเรื่องการเดินทางของสัปดาห์หน้าให้เสร็จ”

เขามองผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “คุณไม่ต้องอยู่ดึกก็ได้”

“ต้องมีคนคอยดูให้แน่ใจว่าตารางงานของคุณจะไม่พังพินาศน่ะสิครับ”

ริมฝีปากเขากระตุก

ไม่เชิงว่าเป็นรอยยิ้ม แต่... มันคือการเปลี่ยนแปลง

บางอย่าง

“คุณทำงานเก่ง” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา

นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเคยพูดกับผมเลยก็ได้

“ขอบคุณครับ” ผมตอบ เสียงเบาเกินไปหน่อย “ผมพยายามอยู่ครับ”

ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง

“กลับบ้านได้แล้ว คิงส์ลีย์”

ผมพยักหน้า เก็บของ แล้วเดินออกจากห้องทำงานของเขา

ขณะที่ลิฟต์เคลื่อนตัวลง ผมจับได้ว่าตัวเองเหลือบมองเงาสะท้อนอีกครั้ง ผมดูไม่ดีพอหรือไงนะ

ยังคงไม่มีอะไรทั้งนั้น

แต่บางที...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป