บทที่สี่
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมา ก่อนจะตระหนักได้ว่าเสียงดังตุ้บๆ ที่ได้ยินนั้นมาจากในหัวของฉันเอง
ฉันลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย มองไปรอบตัว พยายามปะติดปะต่อว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่
แต่ฉันกลับมองอะไรไม่ชัดเลยสักอย่าง สิ่งที่ทำได้คือยกมือขึ้นมากุมหัว จ้องมองพื้นกระเบื้องสกปรกที่ดำคล้ำจากการถูกปล่อยปละละเลยมานานหลายปี
อย่างน้อยนั่นก็บอกได้ว่าฉันอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ห้องที่ฉันถูกพามาตอนแรกปูพรมสีขาว และเจ้าของคนก่อนคงต้องเป็นคนรักความสะอาดมากแน่ๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความทรงจำทั้งหมดตอนที่ฉันยังตื่นอยู่ก็พลันหลั่งไหลเข้ามาในสมอง
เด็กสาวมนุษย์ที่ถูกดูดเลือดจนแห้ง
ตัวฉันที่วิ่งเข้าไปขวางทางแวมไพร์ขี้โมโหอย่างโง่ๆ
แวมไพร์ขี้โมโหตนนั้นตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนฉันให้เป็นอาหารเช้าของเขาแทน
และเขาก็ทำตามที่พูดจริงๆ เขาดูดเลือดฉันจนกระทั่งฉันหมดสติไป
แต่แล้ว พอจำได้ว่าเขาครางออกมาตอนที่ได้ลิ้มรสเลือดของฉัน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
พวกแวมไพร์รังเกียจเลือดหมาป่า
นั่นทำให้เกิดคำถามขึ้นในหัว แต่ฉันก็ทึกทักเอาเองว่าในเมื่อหมาป่าในตัวฉันจากไปแล้ว ฉันก็คงไม่ต่างอะไรกับมนุษย์คนหนึ่ง เฉกเช่นเด็กสาวที่เขาเกือบจะฆ่าเมื่อเช้า
ฉันรู้สึกว่าอาการปวดหัวเริ่มทุเลาลงเล็กน้อยจึงลุกขึ้นนั่ง และในที่สุดก็ได้สำรวจไปรอบๆ ห้องเล็กแคบที่ฉันอยู่
ที่นี่ไม่น่าจะเป็นห้องของใครได้เลย แต่กลับมีเตียงตั้งอยู่ ไม่มีหน้าต่าง และแหล่งกำเนิดแสงเพียงอย่างเดียวคือหลอดไฟดวงเล็กๆ ที่กะพริบอยู่กลางเพดานเตี้ยๆ
อาหารต่างๆ ถูกจัดวางไว้ทั่วห้องในถุงใบใหญ่ จนแทบไม่เหลือที่ว่างสำหรับเตียงเล็กๆ และถุงพลาสติกที่ใส่เสื้อผ้ากับข้าวของซึ่งวางอยู่บนพื้น
ฉันลุกขึ้นจากเตียง พลางนิ่วหน้ากับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของมันที่ดังเสียดแทงเข้ามาในหัวซึ่งกำลังปวดไมเกรนอย่างรุนแรง
ฉันยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พยายามทรงตัวก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
เป็นความคิดที่ผิดมหันต์
ฉันหงายหลังกลับไปอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน ฉันล้มลงบนเตียง หลังกระแทกกับขอบไม้ของเตียงเล็กๆ นั่นจนต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
มีเสียงฝีเท้าเดินสวบสาบอยู่ข้างนอกขณะที่ฉันพยายามจะลุกขึ้นนั่งแล้วเอนตัวลงนอนอีกครั้ง
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดผางออก เผยให้เห็นหญิงชราคนหนึ่ง รูปร่างดูบอบบาง แต่ท่วงท่าการยืนของเธอกลับดูแข็งแกร่งเกินตัว
“โอ๊ย เดี๋ยวก็ได้เจ็บตัวกันพอดี!” เธอร้องอุทานขณะที่ฉันยังคงพยายามขยับตัว
เธอรีบวิ่งเข้ามาหาฉัน ช่วยพยุงฉันให้นอนลงบนเตียง
“เกิดอะไรขึ้นคะ” ฉันถามเธอ น้ำเสียงเจือความเจ็บปวด “ฉันมาทำอะไรที่นี่คะ”
“พวกนั้นโยนเจ้าออกมาทิ้งเหมือนที่ทำประจำนั่นแหละ พวกขี้ขลาดใจดำ ไม่เคยคิดจะเช็กเลยว่าเหยื่อของพวกมันรอดหรือเปล่า!” เธอตวาดอย่างฉุนเฉียวพลางจัดท่าให้ฉันนอนบนเตียงดีๆ
“ฉันนึกว่าจะตายเสียแล้ว” ฉันกระซิบ ความเจ็บปวดทำให้ฉันต้องนิ่วหน้าแม้กระทั่งตอนที่ได้ยินเสียงตัวเอง
“นั่นคือสิ่งที่พวกมันต้องการอยู่แล้ว แต่ยายรู้ว่าเจ้าแตกต่าง เป็นคนที่แข็งแกร่งแน่ๆ!” เธอตอบอย่างตื่นเต้นดีใจ มองสำรวจฉันอีกครั้ง “ยายรีบพาเจ้ามาที่นี่ทันทีแล้วให้หมอทาสมาดูอาการให้ เจ้าจะไม่เป็นไร แต่ต้องนอนพักอีกหน่อย อย่างน้อยก็ก่อนที่พวกมันจะลงมาหาเจ้าอีกครั้ง” เธอพูดจบด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน
ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเธอเกลียดชังเหล่าองค์ชายและนิสัยที่ชอบดื่มเลือดมนุษย์จนตายของพวกเขา
ใครๆ ก็คงคิดว่าความรู้สึกแบบนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ทว่า มนุษย์ที่ถูกพามาที่นี่ล้วนถูกรัฐบาลมนุษย์ของตัวเองล้างสมองมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ การตายในระหว่างที่ถูกดื่มเลือดจึงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ดี พวกเขาถูกบอกว่าเหล่าองค์ชายหรือแวมไพร์ชั้นสูงคนอื่นๆ สามารถชุบชีวิตและเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นแวมไพร์ได้อย่างถาวร
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนอยากเป็นถุงเลือดให้พวกเขานัก
ฉันได้ยินมาว่าบางคนอยู่ได้ไม่เกินสามวันด้วยซ้ำ
สงสัยจูเลียน อดีตคู่ของฉันจะไม่ใช่ไอ้สารเลวคนเดียวในโลกนี้
การที่คิดว่าบุรุษรูปงามเช่นนั้นคือผู้ก่อการอันโหดร้ายทำให้ฉันรู้สึกแย่ลงไปอีก
ฉันคงจะชอบพวกเขาไปแล้วแน่ๆ... อาจจะในจักรวาลอื่น
แต่ในจักรวาลนี้ พวกเขาเป็นแค่ไอ้พวกสารเลวไร้หัวใจที่ใช้ความหิวโหยและสัญชาตญาณมาเป็นข้ออ้างกลบเกลื่อนความโหดเหี้ยมของตัวเอง
หญิงผู้นั้น...รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของนางยิ่งขับให้ลักยิ้มสวยๆ ของนางเด่นชัดขึ้น...วางผ้าขนหนูอุ่นๆ ลงบนศีรษะของฉัน แล้วจึงเสิร์ฟซุปร้อนๆ ให้หนึ่งจาน
“กินแล้วก็นอนซะ หนูต้องการมันนะ” นางสั่ง และฉันก็ทำตาม
ไม่เคยมีใครใส่ใจฉันมาก่อนเลย เรื่องทั้งหมดนี้จึงดูแปลกประหลาด
ชีวิตของฉันตั้งแต่มาที่นี่ก็แปลกประหลาดเหมือนกัน ฉันเดาว่าตอนนี้มันคงกลายเป็นชีวิตของฉันไปแล้ว
ตอนแรกฉันค่อยๆ ซดซุป แต่สุดท้ายก็ซดรวดเดียวจนหมด ฉันหิวมากจริงๆ
“ทีนี้ก็พยายามข่มตาให้หลับล่ะ ร่างกายของหนูต้องการเวลาพักฟื้น เข้าใจไหม” นางบอกฉัน แล้วก็จากไปอีกครั้งพร้อมกับล็อกประตูอย่างแน่นหนา
ฉันถอนหายใจแล้วเอนตัวลงนอน พยายามข่มตาให้หลับอย่างทุลักทุเล
ในที่สุดฉันก็หลับไป แต่แล้วเรื่องที่ประหลาดที่สุดก็เกิดขึ้น
ฉันฝันถึงตัวเอง พวกเจ้าชาย และพันธสัญญาโลหิตประหลาดๆ ที่พวกเขาใช้ฉันเป็นเครื่องมือ
นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่บ้าคลั่งที่สุด
ในฝัน หลังจากที่ดูดเลือดของฉันออกไปแล้ว พวกเขาทั้งสองก็ฝังคมเขี้ยวลงบนคอของฉัน ดูดเลือดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วรุกล้ำจุดซ่อนเร้น ทำให้ฉันกรีดร้องด้วยความสุขสมจากทั้งสองกิจกรรมนั้น
ฉันตื่นขึ้นมา และครั้งนี้ฉันบอกได้เลยว่าเป็นเวลากลางคืนแล้ว
ไม่ใช่แค่เพราะอุณหภูมิในห้อง แต่เพราะฉันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากข้างนอก
“นางต้องทำงานเพื่อแลกที่อยู่! พาตัวนางออกมาเดี๋ยวนี้!”
“แลกที่อยู่งั้นเหรอ!” หญิงสูงวัยที่ดูแลฉันตะโกนใส่ใครก็ตามที่อยู่อีกฝั่ง ฉันจำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ในทันที แม้ว่าจะฟังดูคุ้นหูมากก็ตาม
“ใช่ ธีโอดอร่า เหมือนกับคนอื่นๆ ในวังนี้” นางสวนกลับ และในที่สุดฉันก็นึกออก
เป็นผู้หญิงคนที่พาฉันไปทำความสะอาดห้องที่เหมือนโรงเชือดนั่นเอง
นางมาที่นี่เพื่อจะพาฉันไปที่นั่นอีกแล้วเหรอ
ฉันเพิ่งเกือบจะตายไปจริงๆ นะ แต่นางยังจะหมกมุ่นกับการบังคับให้ฉันทำงานอีกเหรอ
“เจ้ารู้ไหมว่าพระองค์เกือบจะฆ่านางตายอยู่แล้ว? เจ้ายังจะส่งนางกลับไปที่นั่นอีกเหรอ!” ธีโอดอร่าตะคอกใส่นายหญิง เสียงของนางแข็งกร้าวและหนักแน่น
“ใช่ นางต้องทำงานของนาง อีกอย่าง พวกเจ้านายต้องการพบนาง ดังนั้นพานางออกมา ก่อนที่เรื่องนี้จะลงเอยด้วยการนองเลือด” นางข่มขู่
พวกเขาต้องการพบฉันเหรอ
เพื่ออะไรกัน
พวกเขาคงอยากจะสะสางเรื่องที่เริ่มไว้ให้มันจบๆ ไป
ฉันไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้นแล้ว และฉันก็ไม่สบายใจที่จะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้นายหญิงพูดจาดูถูกผู้หญิงคนแรกที่หาอะไรให้ฉันกินนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เจอพ่อแม่
ดังนั้นฉันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังประตู
ฉันเปิดประตูออกไปก็เห็นผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับสีหน้าตกใจของธีโอดอร่า
“ขอบคุณมากนะคะท่าน ฉันจะไม่มีวันลืมท่านเลย” ฉันบอกนางพลางแตะที่ไหล่ การสัมผัสตัวคนอื่นได้ขนาดนี้ก็คือขีดจำกัดของฉันแล้ว อย่าโทษกันเลย
“เจ้าดูซีดเซียว” นายหญิงทักขึ้น
“ค่ะ เพิ่งโดนสูบเลือดออกจากตัวไปนี่คะ จะให้เป็นยังไงได้ล่ะ” ฉันตอกกลับนางไป
“ระวังกิริยาของเจ้าด้วย” นางขู่
“ขออภัยค่ะ ไปกันเถอะ” ฉันพูดพลางโบกมือไปทางประตูห้องครัว นางส่ายหัวอย่างหงุดหงิดแล้วคว้ามือฉันไว้ ก่อนจะลากฉันกลับลงไปยังถ้ำสิงโต
