บทที่ 7 เข้าเมืองขายสมุนไพร

ที่ข้อมือปรากฏกำไลวงที่พ่อบ้านให้นางก่อนจะไปอยู่หมู่บ้านชนบท แต่ทำไมไม่มีใครเห็น หรือนางจะเห็นเพียงแค่คนเดียว

ลู่จื้อลองกำหนดจิต แล้วคิดว่าให้โสมออกมา บนโต๊ะตรงหน้าก็ปรากฏตะกร้าโสมขึ้น

“ปะ เป็น ไป ได้ อย่าง ไร” ลู่เพ่ย พูดตะกุกตะกักออกมา

“ข้าคิดว่า ข้าได้สิ่งนี้มาตอนที่ข้าหลับไปสามวันเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้านึกว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณลอยออกไปในที่ไกลแสนไกล ที่นั่นแตกต่างจากที่นี่ยิ่งนัก มีบ้านเรือนหลังใหญ่โต สูงเทียมฟ้า มีสิ่งที่เรียกว่ารถ วิ่งได้เร็วกว่ารถม้า บนฟ้ายังมีนกยักษ์คนที่นั่นเรียกว่าเครื่องบน ใช้เดินทางไปต่างแคว้นได้เร็วยิ่งนัก” นางหยุดพูดแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม

ลู่จื้อยอมเล่าเรื่องชีวิตในโลกก่อนของนางให้ฟังเล็กน้อย ด้วยคิดว่าตอนนี้พวกเขาคือคนในครอบครัวของนาง อย่างไรสักวันก็ต้องรู้อยู่ดี

ทุกคนต่างรอให้นางพูดต่อ นางจินหรูน้ำตาไหลหลังจากที่บุตรีพูดถึงวิญญาณนางออกจากร่าง จางหมินก็กัดฟันแน่นข่มความโมโหที่บุตรีโดนบ้านใหญ่รังแก ลู่เพ่ยลูบหัวน้องสาว เขาคิดว่าตัวเขาช่างไม่ได้เรื่องปล่อยให้น้องของตนเกือบตาย

“ข้าเรียนรู้เรื่องราวมากมายของคนที่นั่น สิ่งของแปลกใหม่ที่ข้าไม่เคยได้เห็น ข้าบังเอิญได้รับกำไลว่าหนึ่งวงเป็นหยกสีดำเนื้อดี”

“เพียงแต่ไม่มีใครมองเห็น แล้วข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วไม่คิดว่ามันจะติดตัวข้ากลับมาด้วยเจ้าค่ะ” ลู่จื้อยกข้อมือของตนให้ทุกคนดู แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นคือรอยแผลที่นางได้รับตอนจับไก่

“เรื่องนี้ห้ามพูดให้ใครฟังเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นลู่จื้อจะได้รับอันตราย” จางหมินสั่งทุกคน ทั้งสามพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

จากนั้นทั้งสี่คนจึงหันมาสนใจตะกร้าโสมที่อยู่ด้านหน้า จางหมินที่เคยเข้าอำเภอไปขายสัตว์ป่ามาบ้างก็แนะนำให้บุตรของตนนำโสมไปขายให้ร้านยาฮุ่ยชิว (เมตตา) เป็นร้านที่ให้ราคายุติธรรมที่สุดในเมืองแล้ว

ลู่จื้อคิดว่าจะนำโสมร้อยปีสองหัว กับสามร้อยปีหนึ่งหัว ไปขายก่อนเงินที่ได้คงพอให้รักษาบิดากับสร้างบ้าน นางเป็นกังวลเรื่องบ้านยิ่งนัก หากวันใดมีพายุเข้าทั้งสี่ชีวิตคงไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่

สองพี่น้องตื่นนอนยามเหมา (05.00-06.59) เมื่อกินข้าวเรียบร้อยก็รีบไปรอขึ้นเกวียนหน้าหมู่บ้าน เกวียนจะวิ่งเข้าเมืองสองรอบต่อวัน ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็ถึง

ค่าเกวียนคนละหนึ่งอิแปะ ชาวบ้านส่วนมากจะเดินเท้าไปเพราะใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ถึง หากมีกำลังเงินก็นั่งเกวียน ลู่จื้อเริ่มมีเงินแล้วนางย่อมต้องนั่งเกวียน

ลู่เพ่ยจ่ายเงินค่าเกวียนเสร็จก็พาน้องสาวขึ้นไปนั่ง

“โอวโยว นึกว่าใคร เจ้าสองคนพี่น้องมีเหรียญทองแดงจ่ายค่าเกวียนหรือ” คิดว่าใครป้าสะใภ้ใหญ่ที่รักนี้เอง

“ท่านแม่ข้าไม่อยากนั่งใกล้มันเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวชุดใหม่ของข้าสกปรกหมด” ลู่จื้อเดินเข้าไปนั่งติดจางเยว่ จนนางต้องเขยิบตัวออกห่าง

“เจ้า” จางเยว่ที่กำลังจะอ้าปากด่าทอก็โดนนางเกาหงมารดาของตนห้ามไว้

“เยว่เออร์เจ้าอย่าได้โมโหไปเลย วันนี้เป็นวันดีของเจ้า” สองแม่ลูกสบตากันอย่างมีความหมาย จางเยว่หันมามองลู่จื้อแล้วยิ้มเยาะ

ลู่จื้อไม่สนใจสองแม่ลูกนั่นอยู่แล้ว ไม่นานเกวียนก็จอดลงที่หน้าประตูเมือง สองพี่น้องไม่สนใจแม่ลูกคู่นั้นอีก ทั้งสองรีบเดินไปร้านยาฮุ่ยชิวทันที

ร้านยาฮุ่ยชิวเป็นร้านยาขนาดกลาง ด้านหน้าขายยา ด้านหลังมีหมอตรวจรักษา มีชาวบ้านเข้ามาซื้อยาขายสมุนไพรตลอดเวลา จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ที่นี่ให้ราคายุติธรรมจริง

“ไม่ทราบว่ามาซื้อยาหรือมาขายสมุนไพรขอรับ” เสี่ยวเอ้อหน้าร้านต้อนรับสองพี่น้องอย่างดี ไม่แสดงท่าทางรังเกียจให้เห็น

“มาขายสมุนไพรเจ้าค่ะ แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าท่านคงไม่อยากให้ข้านำออกมาตอนนี้แน่นอน”

เสี่ยวเอ้อที่ทำงานมานานเมื่อได้ฟังลู่จื้อพูดเขาก็เข้าใจได้ในทันที พี่น้องคู่นี้ต้องนำสมุนไพรหายากมาขายแน่นอน

“เชิญท่านทั้งสองด้านในก่อนขอรับ ข้าน้อยจะเรียกผู้ประเมินมาตรวจดู” เสี่ยวเอ้อเดินหายไปในห้องด้านหลังแล้วออกมาพร้อมกับชายชรา

“เจ้าสองคนนำสิ่งใดมาขาย เอาออกมาให้ข้าตรวจดูได้เลย ข้าหมอฉีเจ้าของโรงหมอและร้านยาฮุ่ยชิว” ลู่จื้อสะกิดลู่เพ่ยให้หยิบโสมทั้งสามหัวออกมา

“ข้าน้อยคารวะท่านหมอฉี ข้าจางลู่เพ่ย และน้องสาวจางลู่จื้อขอรับ”

ลู่เพ่ยวางห่อผ้าที่เก่าจนแทบจะเหมือนผ้าเช็ดพื้นลงบนโต๊ะ เขาค่อยๆ เปิดออกเพราะกลัวจะทำให้รากโสมหลุดออกมา

“นะ นี่ พวกเจ้าช่างโชคดีจริงๆ นานมากแล้วที่เมืองเฉียงไห่ไม่มีชาวบ้านนำโสมมาขาย” หมอฉีใช้สองมือค่อยๆ หยิบโสมหัวใหญ่ที่สุดขึ้นมาดู

“โสมสามร้อยปี สมบูรณ์มาก พวกเจ้าขุดมาได้ดีจริงๆ ไม่เสียหายเลย” หมอฉีลูบเคราอย่างพอใจ เขามองพิจารณาสองพี่น้องจาง ทั้งคู่ต้องมีคนใดแน่นอนที่มีความรู้เรื่องสมุนไพร เพราะสามารถเก็บได้อย่างถูกวิธี

“โสมร้อยปี สองหัวข้าให้หัวละสามร้อยตำลึงทอง โสมสามร้อยปี หนึ่งหัวมีทั้งดอกครบข้าให้ หนึ่งพันตำลึงทอง พวกเจ้าพอใจหรือไม่”

“พอใจเจ้าค่ะ” หมอฉีสั่งให้หลงจู๊นำตั๋วเงินและเงินตำลึงมาให้สองพี่น้อง

“หากพวกเจ้ามีสมุนไพร นำมาขายให้ร้านยาของข้าได้ตลอด” หมอฉีกล่าวบอกทั้งสองคน

“หากข้าได้ของดีเช่นนี้มาอีกจะนึกถึงร้านยาของท่านก่อนแน่นอนเจ้าค่ะ” หมอฉีดูจะพอใจกับคำพูดของลู่จื้อ

“ดีดีดี หากพวกเจ้ามีเรื่องใดที่ข้าช่วยเหลือได้ก็อย่าได้เกรงใจ” นี่แหละคือสิ่งที่นางต้องการ

“ท่านหมอฉีเจ้าคะ ข้าอยากรบกวนให้ท่านไปตรวจดูอาการของบิดาที่หมู่บ้านชุนหนานเจ้าค่ะ” ลู่จื้อแจ้งรายละเอียดอาการบาดเจ็บของบิดาที่ไม่สามารถเดินทางมาที่โรงหมอได้

บทก่อนหน้า
บทถัดไป