บทที่ 2 ตอนที่ 2.กาฝากที่ไม่มีใครต้องการ/2

มัสลินรีบบอกเกรงว่าปรัชญ์จะเหน็บแนมพี่สาวเธอมากกว่านี้ เขากับลินินเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เรียนมัธยม

ปรัชย์อายุมากกว่าลินินสามปีแก่กว่ามัสลินห้าปี เขาย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกับเธอและพี่สาว

เขาย้ายมาพร้อมกับมารดามาเช่าตึกแถวเปิดร้านขายขนมที่ตลาดทรัพย์เจริญแห่งนี้

เปรมใจแม่ของปรัชญ์เป็นลูกศิษย์เก่าของคุณยายของมัสลิน จึงมักพาลูกชายแวะไปหาท่านที่บ้านบ่อยๆ พลอยให้เด็กทั้งสองสนิทสนมกัน

“ช่างสิ ใครจะสน มาเข้ามาก่อน ข้างนอกร้อนจะตาย เดี๋ยวแดดเผาดำหมด”

ปรัชญ์เปิดประตูร้านให้หญิงสาวเดินเข้าไปด้านใน กลิ่นหอมของขนมปังลอยฟุ้งชวนน้ำลายสอทันทีที่เข้ามา ทำเอาคนได้กลิ่นท้องร้องเสียงดัง

“หิวใช่ไหม มานั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่เอาอะไรมาให้กิน”

ลูกชายเจ้าของร้านได้ยินเสียงท้องร้องก็จูงมือมัสลินมานั่งที่เก้าอี้ แล้วเดินหายเข้าไปด้านใน ก่อนจะกลับมาพร้อมข้าวผัดและน้ำหวานมาวางตรงหน้า

“ข้าวผัดไส้กรอกของชอบของมัสไง แม่พี่ทำไว้ให้ นี่น้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ จะได้สดชื่น”

“ขอบคุณค่ะ น่ากินมากเลย มัสกินก่อนนะคะ”

มัสลินเอ่ยขอบคุณแล้วลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ตั้งแต่เช้าเธอได้กินข้าวต้มไปชามเดียว

หลังจากป้อนข้าวป้อนยาให้คุณยายที่นอนป่วยอยู่ ก็ต้องมาช่วยเด็กอาหมี่ทำความสะอาดบ้าน กว่างานจะเสร็จก็บ่ายคล้อย

ไม่ทันจะได้กินอะไรคุณป้าแพรก็ใช้ให้มาเก็บค่าเช่า โชคยังดีที่นางแววฝากเธอติดรถของพี่สาวออกมาด้วย หากปั่นจักรยานออกมาเหมือนทุกครั้งคงลำบากกว่านี้

“พี่สงสารมัสเหลือเกิน ทำไมต้องทนให้เขาใช้งานราวกับทาสแบบนั้น มัสเรียนจบมีวุฒิปริญญาน่าจะหางานทำแล้วย้ายออกมาอยู่ข้างนอก”

ปรัชญ์มองมัสลินด้วยแววตาเวทนา มัสลินเป็นลูกสาวของคุณไหมพิมพ์ลูกสาวคนเล็กของคุณยายฝ้ายคำกับสามีนักดนตรีชาวอังกฤษ

เมื่ออายุได้สิบสองก็ต้องกำพร้าสูญเสียบิดามารดาจากอุบัติเหตุรถคว่ำ คุณยายฝ้ายคำรับหลานสาวมาเลี้ยงดูให้อยู่อาศัยที่เรือนไทยของท่าน

ในบริเวณเดียวกับคฤหาสน์ของลูกสาวคนโตกับสามี ห้าปีแรกมัสลินได้รับการดูแลอย่างดีจากผู้เป็นยาย

แต่พอปีต่อมาคุณยายฝ้ายคำเกิดล้มป่วยนอนติดเตียง แพรพรรณถือโอกาสนี้ให้คนเป็นแม่เซ็นยกอำนาจในการดูแลทรัพย์สินให้ตนเอง

แล้วใช้อำนาจที่มีข่มเหงหลานสาวในไส้ เรียกไปใช้งานในบ้าน รวมถึงเป็นคนเก็บค่าเช่าตึกและค่าแผงในตลาด

แลกกับอาหารและค่ารักษาพยาบาลของคนป่วย มัสลินจำต้องยอมให้ผู้เป็นป้ากดขี่ข่มเหง

จนเรียนจบมัธยมปลายนางแพรพรรณไม่ยอมส่งเสียให้เรียนต่อ

เปรมใจสงสารจึงแนะนำให้มัสลินเรียนต่อทางไกลกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จนจบปริญญามาอย่างยากเข็ญ

“ถ้ามัสออกมา แล้วใครจะดูแลคุณยาย”

มัสลินวางช้อนลง ยิ้มเศร้า แววตาอ่อนแสงลงเมื่อนึกถึงคนป่วยที่นอนเป็นอมพาตมาร่วมหลายปี

ทุกวันนี้เธออดทนทำทุกอย่างก็เพราะมีคุณยายเป็นแรงใจ หากไม่นับผู้เป็นป้าแล้ว ท่านคือญาติคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่

จะให้เธอทอดทิ้งท่านไปหาความสุขสบายมัสลินคงทำไม่ได้

“คุณนายแพรพรรณเขามองมัสว่าเป็นหลานที่ไหน แม่แท้ๆ อย่างคุณยายก็ปล่อยให้นอนติดเตียง ไม่จ้างพยาบาลมาดูแล

ไม่หาหมอดีๆ มารักษา ปล่อยให้ท่านนอนเหมือนผักอยู่ในห้อง คนอะไรใจร้ายใจดำไม่มีใครเท่า”

ปรัชญ์ก่นด่าญาติผู้ใหญ่ของมัสลินด้วยความเกลียดชัง หากมัสลินยอมให้เขากับแม่ช่วย คงไม่ต้องทนรองมือรองเท้าเป็นทาสในเรือนเบี้ยให้ผู้เป็นป้ามานานหลายปีแบบนี้หรอก เขารู้ว่ามัสลินกตัญญูต่อคุณยาย ยอมอดทนเพื่ออยู่ดูแลท่าน ทั้งที่นางแพรพรรณเห็นว่าเธอเป็นกาฝากที่มาอาศัยบ้านอยู่

“ช่างเถอะค่ะพี่ปอนด์ มัสขอแค่ได้ดูแลคุณยาย มัสก็พอใจแล้ว มัสไปล้างจานก่อนนะคะอิ่มแล้ว”

มัสลินไม่อยากต่อความยาวให้ปวดร้าวมากกว่านี้ ลุกขึ้นหยิบจานกับแก้วเปล่านำไปล้างหลังร้าน

เปรมใจแม่ของปรัชญ์กำลังอบขนมอยู่หันมาเห็นก็รีบมารับจานชามไปวางในอ่างล้างจาน

“เอามานี่ ไม่ต้องล้างหรอกเดี๋ยวป้าล้างเอง”

“มัสล้างเองดีกว่าค่ะ มาฝากท้องกับป้าเปรมบ่อยๆ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่”

มัสลินไม่ยอมทำตัวไร้ประโยชน์ หยิบฟองน้ำมาล้างจานชามในอ่างล้างจานจนหมด เธอได้อาศัยข้าวน้ำจากความเมตตาของเปรมใจมาหลายปี

นับตั้งแต่คุณยายป่วยเธอแทบไม่ได้กินอิ่ม คนเป็นป้าไม่ใส่ใจเรื่องอาหาร ปล่อยให้หลานสาวกินอยู่กับคนรับใช้

ตัวเองกับสามีและลูกสาวมักจะรับประทานอาหารนอกบ้าน ในครัวจึงแทบไม่มีของสดติดไว้ คนในบ้านได้ค่าอาหารเพียงเล็กน้อยไม่พอกินอิ่มครบทุกคน

คนรับใช้อย่างนางแวว นายมั่นและเด็กอาหมี่ พอมีเงินเดือนให้ใช้จ่ายจึงไม่ลำบากนัก แต่มัสลินไม่มีเงินเดือนเหมือนคนอื่น

อาศัยทำขนมไทยมาฝากขายที่ร้านของเปรมใจ และได้ฝากท้องกับเจ้าของร้านเป็นบางมื้อ พอมีเงินเป็นค่าอาหารให้ตัวเองและคนป่วยได้กิน

ยังดีที่แพรพรรณจ่ายค่ารักษาและค่าอุปกรณ์พวกผ้าอ้อมและยาให้มารดาตัวเอง มัสลินจึงไม่ลำบากมากกว่าที่เป็น

มัสลินไม่กล้าเล่าให้คนเป็นยายฟังกลัวท่านจะคิดมาก บั่นทอนสุขภาพให้แย่ลง ได้แต่อดทนให้เวลาผ่านไปในแต่ละวัน ท่ามกลางความเวทนาของคนที่รู้เรื่อง

“มีลูกค้าเขาอยากได้ขนมกลีบลำดวน เขาลองเอาไปขายที่ร้านกาแฟของเขาแล้วลูกค้าติดใจ มาสั่งป้าให้ส่งให้อาทิตย์ละห้าสิบกล่อง มัสทำไหวไหมลูก”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป