บทที่ 2 ยั่วโทสะ
ทหารทั้งสองยังทำหน้างุนงงหนักกว่าเดิม ยิ่งทำให้แม่ทัพใหญ่โมโหเพิ่มขึ้นไปอีก เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เดินดุ่มๆ ไปยังเรือนทางปีกซ้ายของจวน จำได้ว่าตอนนางมาถึง เขาให้พ่อบ้านจัดที่พักให้ พ่อบ้านก็จัดเรือนปีกซ้ายทั้งที่เรือนของเขาอยู่ปีกขวา คนพวกนี้ก็อย่างไรกัน ช่างรนหาที่ตายโดยแท้ มีใครกันแยกห้องสามีภรรยาอยู่คนฟากของจวนเช่นนี้
แม่ทัพใหญ่เดินไปที่เรือนของนาง ทว่ายังไม่ทันพ้นประตูวงพระจันทร์ก็เห็นเจ้าตัวขนสีขาววิ่งมาชนขาจนมันเสียหลักเซไปทางอื่น เขาก้มมองเจ้า ‘แพะน้อย’ อายุน่าจะประมาณแค่สองเดือน ดูจากสายตาเอาเรื่องมันแล้วก็ทำให้เขาขมวดคิ้วไม่รู้ตัว
“เปาเป่า กลับมานี่”
เสียงหวานใสร้องเรียกปนหัวเราะทำให้ยามอาทิตย์อัสดงมีชีวิตชีวา เขาเงยหน้าขึ้นมองพลันสบตากับเจ้าของร่างเล็กที่เดินเร็วๆ มาทางเขา แววตากลมโตกระจ่างเบิกกว้างขึ้นดูคล้ายตกใจก่อนจะปรับอารมณ์วูบหนึ่งหลุบตาลง
“ท่านแม่ทัพ” จ้าวจื่อรั่วคารวะอย่างมีมารยาท “ท่านมาถึงเรือนของข้า มีเรื่องใดรึเจ้าคะ”
“จวนข้า ข้าจะไปที่ใดต้องรายงานเจ้ารึ”
จ้าวจื่อรั่วเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่านางทำเรื่องใดผิดจึงทำให้เขาดูอารมณ์ร้ายนัก นางยังไม่ทันเอ่ยปากอธิบาย เจ้าแพะน้อยทำท่าจะวิ่งพุ่งเข้าใส่ท่านแม่ทัพ
“เปาเป่า!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าแพะน้อยสีขาวก็พุ่งเข้าใส่ จ้าวจื่อรั่วร้องอย่างตกใจ แต่กู้ตงหยางก้มลงหิ้วคอแพะน้อยขึ้นมาไว้ก่อน
‘เจ้านี้มันร้ายจริง!’
“เหตุใดมีแพะอยู่ในจวนได้”
“เป็นแพะจากโรงครัวเลี้ยงเอาน้ำนมเจ้าค่ะ” เสี่ยวฉู่ที่ถูกส่งมาเป็นสาวใช้รับใช้ฮูหยินรีบพูดขึ้น “เจ้าแพะน้อยตัวนี้ตั้งแต่ได้พบหน้าฮูหยินก็เดินตามไม่ยอมห่าง จนฮูหยินขอนำมันมาเลี้ยงไว้ดูเล่นเจ้าค่ะ”
ปกติบ่าวไพร่แทบไม่มีผู้ใดกล้าปริปากพูดกับเจ้านาย แต่ยามนี้เพื่อปกป้องฮูหยินจึงกล้าพูดขึ้น กู้ตงหยางประหลาดใจยิ่งนัก นางมาอยู่จวนเขาไม่นานกลับซื้อใจคนในจวนได้ เห็นทีว่าเขาจะประเมินสตรีสกุลจ้าวน้อยเกินไป
จ้าวจื่อรั่วย่อมไม่เข้าใจความคิดของกู้ตงหยาง นางพึ่งระลึกเสมอว่าตนเองเป็นเพียงผู้อาศัย จะทำสิ่งใดต้องเกรงใจเจ้าของบ้าน แม้แพะตัวนี้เป็นแพะของจวน แต่นางนำมาเลี้ยงที่เรือนของตน อาจทำให้เขาไม่พอใจได้ ก่อนที่เขาสั่งการใดออกมา นางจึงรีบเอ่ยปากสั่งเสี่ยวฉู่เสียก่อน
“รีบพาเปาเป่าไปเถิด วันนี้เล่นซนทั้งวันแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวฉู่รีบเข้าไปอุ้มเจ้าแพะน้อยออกไปทันที ทำให้ยามนี้ในเรือนของนางไม่มีบ่าวไพร่คนอื่นคอยรับใช้ เหลือเพียงนางและผู้เป็นเจ้าของจวนเท่านั้น
ยามตะวันพลบค่ำท้องฟ้าเป็นสีแดงเรื่อคล้ายย้อมแก้มนวลให้แดงปลั่ง ริมฝีปากบางขบเม้มจนเรียบตึงอย่างครุ่นคิด นางแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวใบบัว เรือนผมก็เกล้าอย่างเรียบง่าย แตกต่างจากเฉียวฉู่ราวฟ้ากับดิน ทว่าภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน สงบนิ่งและสบายใจ
“ท่านแม่ทัพ” จ้าวจื่อรั่วเรียกเสียงเบาด้วยยังไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสิ่งใด “ท่านมาถึงเรือนข้ามีสิ่งใดหรือเจ้าคะ เหตุใดไม่ให้บ่าวไพร่มาเรียกข้าไปพบ”
กู้ตงหยางได้สติก็สูดลมหายใจลึก พลันได้กลิ่นหอมของอาหาร ทำให้นึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้กินมื้อเย็น เขากระแอมไอขึ้นเล็กน้อยแล้ววางท่าราวกับสนทนากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน
“เจ้าใช่ไหมที่เป็นคนเปลี่ยนสุราของข้า”
“อ่อ...เรื่องนั้นเป็นข้าเองเจ้าค่ะ” นางยิ้มรับแต่โดยดี “หมอทหารแจ้งว่าท่านแม่ทัพยังมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังไม่ควรดื่มสุรารสแรง ข้าจึงเปลี่ยนเป็นสุรายาให้ท่าน”
“หมอทหารกล้าเอาเรื่องนี้มาพูดกับเจ้ารึ!” เขาขึงตาใส่นาง แต่หญิงไม่หลบสายตาซ้ำยังคงระบายยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“ทุกคนล้วนเป็นห่วงสุขภาพของท่านแม่ทัพใหญ่ผู้กุมกำลังพลทหารนับแสน ข้าอยู่หลังบ้านช่วยได้เพียงเล็กน้อย จึงรับปากท่านหมอทหารว่าจะช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
พูดออกไปแล้วก็รู้สึกโล่งใจ หลายวันก่อนหมอทหารพูดคุยกับนางจึงพอได้รับรู้ความลับเล็กๆ เรื่องนี้ นางจึงได้แต่ปรับเปลี่ยนอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพของท่านแม่ทัพ หญิงสาวเห็นเขายังยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่จึงเอ่ยถาม
“ท่านแม่ทัพกินอะไรมาหรือยังเจ้าคะ ข้าทำน้ำแกงหัวปลาไว้ ท่านอยากลองชิมสักชามไหมเจ้าคะ”
แววตานางเหมือนเด็กที่อยากอวดของเล่น เอาเถอะ แค่น้ำแกงชามเดียวไม่เสียเวลานัก เขาพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปด้านใน ตั้งแต่รับนางมาไว้ในจวนตลอดจนเข้าพิธีแต่งงาน เขาไม่เคยเข้ามาดูความเป็นอยู่ของนางเลยสักนิด เรือนของนางตบแต่งเรียบง่าย นอกจากภาพอักษรที่แขวนที่ผนังและต้นไม้เล็กๆ ไม่กี่กระถางแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ
“เหตุใดเจ้าทำตัวอัตคัดยิ่งนัก”
จ้าวจื่อรั่วถูกตำหนิก็นิ่งไป นางอดก้มมองตนเองไม่ได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาคมกริบจ้องมองอยู่ หรือเขาจะคิดว่านางทำตัวไม่สมฐานะเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ
“ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่ควรแต่งกายสีสันฉูดฉาด เกล้าผมก็ทรงของสตรีที่ออกเรือน ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพต้องการให้ข้าปรับปรุงจุดไหนเจ้าคะ”
นางถามกลับด้วยแววตาใสซื่อแต่ทำเอากู้ตงหยางอยากกระอักโลหิตออกมา กินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร ช่างกล้าต่อปากต่อคำกับเขานัก แต่เขาเป็นบุรุษทั้งแท่งจะมาโต้เถียงกับสตรีก็ไม่ใช่เรื่อง เขาจึงนั่งลงที่เก้าอี้กลมแล้วโบกมือไปมา
“ไปยกน้ำแกงของเจ้ามา”
“เจ้าค่ะ”
หญิงสาวก้าวออกไปแล้ว เขาจึงกวาดตามองโดยรอบอย่างสำรวจ ทุกอย่างเรียบง่ายจนน่าประหลาดใจ ผิดกับห้องของเฉียวฉู่ เขาไม่ได้ช่วยเพียงนาง แต่สตรีอีกหลายคนที่ถูกช่วยมาพร้อมกัน แต่นางอ้างว่าตนเป็นบุตรสาวของเฉี่ยวโจว เจ้าเมืองต้าเหลียง เขาจึงรับตัวนางไว้และให้คนส่งข่าวเพื่อไปแจ้งกับบิดาของนาง จะได้ส่งคนมารับคนกลับไป
ครู่ต่อมาจ้าวจื่อรั่วประคองถาดใส่อาหารเดินกลับเข้ามา นางวางอาหารบนโต๊ะแล้วค่อยปรนนิบัติเขาอยู่ด้านข้าง
“เจ้าเข้าครัวเอง?”




























