สี่
แรงกระแทกส่งฉันล้มลงกับพื้น
เจ้าอสูรพเนจรล้มลงพร้อมกับเสียงคำรามสุดท้ายอย่างเจ็บปวด ร่างมหึมาของมันแน่นิ่งไป ฉันนอนอยู่ตรงนั้น หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ภาพตรงหน้าพร่าเลือน
รองเท้าบูตของแม็กนัสปรากฏขึ้นในสายตา ฉันเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเขากำลังจ้องมองลงมา
“น่าประทับใจ” เขาเอ่ย แม้น้ำเสียงจะไร้ซึ่งคำชื่นชม “บางทีเจ้าอาจไม่ได้เปราะบางอย่างที่ข้าคิด”
ฉันไม่มีแรงพอจะตอบ ร่างกายปวดร้าวไปหมด มือสั่นเทาขณะพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้น
“จงจำช่วงเวลานี้ไว้ มนุษย์ตัวน้อย” แม็กนัสกล่าว น้ำเสียงของเขาเย็นชาและไร้ความปรานี “นี่แหละคือการเอาชีวิตรอด ความเจ็บปวด เลือด ความตาย ทำตัวให้ชินซะ”
เขาหันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งฉันไว้ลำพังในความมืดมิด ขณะที่เสียงประตูปิดลงดังกึกก้อง ฉันขดตัวเข้าหากัน ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวด
แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่
และตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็ยังมีโอกาสที่จะช่วยเธอคนนั้น
มุมมองของอะริแอดนี
ความเงียบในห้องของฉันเป็นสิ่งที่เปราะบาง ถูกทำลายลงด้วยเสียงหอบหายใจของตัวเองเท่านั้น มือของฉันสั่นไม่หยุด แม้จะพยายามกดมันไว้กับเข่าเพื่อบังคับตัวเองให้นั่งตัวตรง เลือด ทั้งของฉันและของเจ้าอสูรนั่น เกาะกรังอยู่บนผิว เป็นเครื่องย้ำเตือนอันน่าสยดสยองถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งทำลงไป
เสียงคำรามสุดท้ายของมันยังคงดังก้องอยู่ในหัว ดวงตาที่เบิกกว้างอย่างบ้าคลั่งของมันฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ฉันไม่ใช่แค่ฆ่ามัน แต่ฉันรอดชีวิตจากมันมาได้ และนั่นทำให้ฉันอันตรายยิ่งกว่าที่เคยในสายตาของแม็กนัส
ความคิดเกี่ยวกับเขาทำให้คลื่นแห่งความโกรธลูกใหม่ซัดสาดเข้ามาในใจ เขาเป็นคนจัดฉากเรื่องทั้งหมด โยนฉันลงไปในหลุมกับอสูรร้ายเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง สำหรับเขาแล้วฉันไม่ต่างอะไรจากเบี้ยในเกมอันบิดเบี้ยว เป็นตัวหมากที่ถูกทดสอบ ถูกทำลาย และถูกปั้นแต่งให้เป็นเครื่องมืออะไรก็ได้ที่เขาเห็นว่ามีประโยชน์
ฉันอยากจะเกลียดเขา พระเจ้า ฉันอยากเกลียดเขาให้เข้ากระดูกดำ แต่ถึงแม้จะชิงชังราชันย์อสูรมากเพียงใด ฉันก็ปฏิเสธความจริงข้อหนึ่งไม่ได้ เขาบีบให้ฉันปลดปล่อยส่วนหนึ่งของตัวเองที่ฉันไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
‘ลูกแข็งแกร่งกว่าที่คิดนะ’ เสียงของแม่กระซิบแผ่วเบาในห้วงคำนึง
แต่ฉันจะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งหรือเปล่า แข็งแกร่งพอที่จะทนรับความสยดสยองครั้งใหม่ที่เขาวางแผนไว้สำหรับฉันได้หรือไม่
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายภวังค์ความคิดของฉัน
ฉันตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นกระตุกอย่างเจ็บปวดในอก มันไม่ใช่เสียงทุบประตูหนักๆ ของยาม ไม่เลย เสียงเคาะนี้เบากว่านั้น... แทบจะเรียกได้ว่าลังเล
ประตูแง้มเปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นชายผู้มีใบหน้าคมคายและผมสีเข้มที่รวบเป็นมวยหลวมๆ ดวงตาของเขาซึ่งเป็นสีเขียวสว่างและคมกริบจนน่าหวาดหวั่น หรี่ลงขณะกวาดมองมาที่ฉัน
“แม็กนัสฝากความระลึกถึงมา” ชายคนนั้นพูดอย่างหน้าตาย พลางก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่รอคำเชิญ
“แล้วนายเป็นใคร” ฉันถาม เสียงแหบแห้งจากการกรีดร้อง
“ลูก้า สตาฟรอส” เขาตอบพลางปิดประตูตามหลัง “ที่ปรึกษาขององค์ราชันย์ และก่อนที่เธอจะถาม ไม่ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าเธอ”
“ค่อยโล่งใจหน่อย” ฉันพูด แม้น้ำเสียงจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ลูก้าพิงกำแพง กอดอก มีบางอย่างในตัวเขา ความมั่นใจสบายๆ รอยยิ้มเหยียดหยันที่ระบายอยู่บนริมฝีปาก ทำให้ฉันรู้สึกไม่ไว้วางใจ
“เขาอยากให้ฉันมาดูเธอ” ลูก้าพูดต่อ น้ำเสียงเจือความขบขันอย่างร้ายกาจ “มาดูว่า ‘มนุษย์ตัวน้อย’ รอดชีวิตจากการทดสอบครั้งแรกได้หรือเปล่า”
ฉันฉุนกึกกับคำพูดของเขา กำหมัดแน่น “ไปบอกเขาแล้วกันว่าฉันยังไม่ตาย แค่เกือบ แต่ฉันมั่นใจว่าอีกไม่นานเขาก็คงหาวิธีจัดการเรื่องนั้นได้”
ลูก้าหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า “เธอนี่พยศไม่ใช่เล่นเลยนะ ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม็กนัสถึงได้สนใจในตัวเธอขนาดนี้”
“เขาไม่ได้สนใจฉันหรอก” ฉันพูดอย่างขมขื่น “ฉันก็เป็นแค่ของเล่นอีกชิ้นให้เขาเล่นสนุกเท่านั้นแหละ”
“อาจจะใช่” ลูก้าพูดพลางดันตัวออกจากกำแพงแล้วเดินมาหาฉัน “แต่เธอก็ยังอยู่ที่นี่ มนุษย์ส่วนใหญ่มาได้ไม่ไกลขนาดนี้หรอก ให้ตายสิ คนหมาป่าส่วนใหญ่ก็ด้วย”
ฉันเกลียดที่คำพูดของเขากลับปลุกปั่นบางอย่างในใจฉัน ความภาคภูมิใจเล็กๆ ที่ริบหรี่แต่ก็ไม่อาจดับให้มอดลงได้
“นายต้องการอะไร” ฉันถามพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง
“มาให้คำแนะนำ” เขาพูดแล้วย่อตัวลงจนเราสบตากันในระดับเดียวกัน “การเอาชีวิตรอดที่นี่ไม่ใช่เรื่องของพละกำลังหรือฝีมือ แต่มันคือการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรสู้และเมื่อไหร่ควรสวมบทบาท”
“แล้วฉันต้องสวมบทบาทอะไรล่ะ” ฉันถามเสียงแข็ง
รอยยิ้มเยาะของลูก้าจางหายไป ถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่เย็นชาและแข็งกระด้างกว่า “บทบาทที่จะทำให้เธอรอดชีวิต แม็กนัสกำลังทดสอบเธอ แต่เขาก็จับตาดูเธออยู่ด้วย ทุกย่างก้าวที่เธอเดิน ทุกคำที่เธอพูด...ทุกอย่างล้วนมีความหมาย ถ้าเธออยากจะปกป้องน้องสาว เธอก็ต้องฉลาด ใช้สมอง ไม่ใช่ใช้แต่หัวใจ”
ฉันจ้องมองเขา ถ้อยคำของเขาถ่วงทับลงบนตัวฉันราวกับของหนักอึ้ง เขาพูดไม่ผิด การท้าทายของฉันอาจพาฉันมาได้ไกลถึงเพียงนี้ แต่มันคงไม่ช่วยให้ฉันรอดชีวิตไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่ที่นี่
“ฉันไม่ได้ขอคำแนะนำจากนาย” ในที่สุดฉันก็พูดขึ้น เสียงเบาแต่หนักแน่น
“ก็ใช่” ลูก้าพูดพลางลุกขึ้นยืนแล้วปัดฝุ่นกางเกง “แต่เธอจะต้องใช้มัน เชื่อฉันสิ”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งให้เสียงประตูปิดดังแกร๊กอยู่เบื้องหลัง
เช้าวันต่อมา หมายเรียกก็มาถึง
ทหารยามคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตู สีหน้าของเขาเรียบเฉยแต่น้ำเสียงไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง “ราชันย์มีรับสั่งให้เจ้าเข้าเฝ้า”
ท้องไส้ฉันปั่นป่วนขณะเดินตามเขาไปตามโถงทางเดินที่คดเคี้ยวของป้อมปราการ แต่ละก้าวรู้สึกหนักอึ้งกว่าก้าวที่แล้ว ภาพความทรงจำตอนที่ถูกพวกนอกคอกโจมตียังคงสดใหม่ในความคิด
เมื่อเรามาถึงท้องพระโรง บานประตูพลันเปิดออก เผยให้เห็นแม็กนัสประทับอยู่บนบัลลังก์ เขามีลักษณะของราชันย์แห่งสรรพสัตว์ทุกกระเบียดนิ้ว ไหล่กว้างมีผ้าคลุมขนสัตว์สีดำพาดอยู่ ดวงตาสีทองของเขาส่องประกายดุจนักล่า
“เข้ามาใกล้ๆ” เขาสั่ง เสียงก้องกังวานไปทั่วห้องโถง
ฉันลังเลอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า หัวใจเต้นรัวแรงจนฉันมั่นใจว่าเขาต้องได้ยินมัน
แม็กนัสจ้องมองฉันด้วยสายตาเขม็งจนน่าขนลุก ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มของนักล่าจางๆ “เจ้ารอดมาได้”
“ฟังดูเหมือนท่านจะผิดหวัง” ฉันพูด น้ำเสียงมั่นคงกว่าความรู้สึกข้างใน
เขาหัวเราะในลำคอ เป็นเสียงทุ้มต่ำที่ส่งความเย็นเยียบแล่นไปทั่วสันหลัง “ตรงกันข้าม ข้าประทับใจต่างหาก เจ้ามีความดื้อรั้นที่เกือบจะเรียกว่าโง่ได้ แต่มันก็ช่วยเจ้าได้ดีมาจนถึงตอนนี้”
ฉันกำหมัดแน่น บังคับตัวเองให้สบตากับเขา “ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ แม็กนัส ท่านต้องการอะไรจากฉัน”
เขาโน้มตัวมาข้างหน้า วางข้อศอกลงบนเข่าขณะพินิจพิจารณาฉัน “สิ่งที่ข้าต้องการนั้นเรียบง่าย การเชื่อฟัง การยอมจำนน พิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าเจ้ามีค่าพอให้ข้าเสียแรง ข้าฝากความหวังไว้กับเจ้า”
“แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะ” ฉันถาม ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร
รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคม “เจ้าก็จะตายอย่างทุกข์ทรมาน”
มีก้อนบางอย่างจุกขึ้นมาในลำคอ แต่ฉันก็กล้ำกลืนมันลงไป ไม่ยอมให้เขาเห็นความกลัวของฉัน “ท่านจะเอาชีวิตฉันไปก็ได้ แต่จะไม่มีวันได้การยอมจำนนจากฉัน”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันราวกับป่าช้า น้ำหนักของถ้อยคำฉันแขวนค้างอยู่ในอากาศดั่งคมดาบที่พร้อมจะฟาดฟันลงมา
แม็กนัสลุกขึ้นจากบัลลังก์ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและจงใจขณะที่เขาปิดระยะห่างระหว่างเรา เขาสูงตระหง่านอยู่เหนือฉัน การมีอยู่ของเขาทำให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
