บทที่ 3 บทที่ 3

“ทำไมครับ”

“พวกมันคงหวังจะเป็นใหญ่ทางการค้า เรื่องราวมันซับซ้อนแต่ตอนนี้พ่อไม่อาจทำให้ลูกเข้าใจได้ แค่จำไว้อย่างเดียวว่าพวกอัคราบริรักษ์เป็นศัตรูกับเรา เข้าใจมั้ยโจวหมิง”

เด็กชายหยางโจวหมิงมองเห็นความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในแววตาของบิดา แม้เขาจะไม่เข้าใจความหมายที่พ่อพูดสักเท่าไหร่ แต่ภาพแม่ในอ้อมแขนของพ่อก็วาดลึกอยู่ในจิตใจ มันคงจะดีหากไม่มีปืนจ่อไปที่แม่ ดวงตาสีสนิมเหมือนคนเป็นพ่อหลุบลง ก่อนใบหน้าเล็กจะพยักหงึกหงัก

“ครับพ่อ ผมจะจำไว้”

6 เดือนต่อมา

นางทิพวรรณให้กำเนิดลูกชายคนแรกของตระกูลอัคราบริรักษ์ ความทรงจำในช่วงที่เธอยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนแรก ยังคงเป็นภาพหลอน จนกระทั่งในเวลาที่เธอถูกเข็นเข้าห้องคลอด ภาพของหยางเสี่ยวผิงก็ปรากฏทุกครั้งที่หลับตา ความผิดที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อ และเพราะอะไรนั้นทำให้เธอเหมือนตกอยู่ในบ่วงกรรม

“อุแว๊ๆ” เสียงทารกร้องจ้าเรียกให้คนเป็นแม่ต้องสะดุ้ง

“โอ๋...ธัชชัยลูกแม่ ลูกน้อยของแม่ อย่าร้องนะคนดี”

เธอปลอบเสียงอ่อนโยน ก่อนป้อนนมลูกจากทรวงอกอิ่มของตัวเอง

“ตู๊ด...ตู๊ด”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อึดใจต่อมาร่างอวบท้วมของสรวงสุดาก็วิ่งกระหืดกระหอบพร้อมกับโทรศัพท์ไร้สายในมือ

“โทรศัพท์ของคุณค่ะ”

“ขอบใจจ้ะ” ทิพวรรณรับไว้ เอียงหน้าแล้วพูดใส่กระบอกโทรศัพท์ “ทิพวรรณพูดค่ะ”

“ฉันเอง หยางเฟ่ยหลง”

“พี่เฟ่ยหลง!!”

เสียงสั่นเกือบจะเป็นเสียงครางดังพอสมควร ทำให้ใบหูของคนที่อยู่บริเวณนั้นถึงกับกระดิกแล้วเงี่ยหูฟังการสนทนานั้นอย่างตั้งใจ

“ตอนนี้ฉันอยู่กรุงเทพฯ และฉันต้องการพบเธอ”

“มีอะไรกับทิพหรือคะ”

“ฉันมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องพูดกับเธอ...วันนี้”

“...” ทิพวรรณนิ่งคิดไปนาน เธอต้องการรู้ว่าหยางเฟ่ยหลงมีเรื่องอะไรจะพูดกับเธอ แต่...มันจะเป็นการดีหรือ ถ้าเธอจะต้องเดินทางไปพบคนที่เกลียดอัคราบริรักษ์ตามลำพัง หยางเฟ่ยหลงอันตรายแค่ไหนใครๆ ก็รู้ ความโกรธของมาเฟียใหญ่ไม่มีทางดับลงง่ายๆ เขาจะมีแผนการอะไรอยู่ในหัว นั่นคือสิ่งที่ต้องค้นหาพอๆ กับเป็นสิ่งที่ควรหวาดกลัว

“อย่าคิดนานนักทิพวรรณ เพราะฉันไม่ใจเย็นมากพอจะรอเธอได้ ถ้าเธอไม่ออกมาพบฉันวันนี้ ฉันจะเป็นฝ่ายไปหาเธอที่นั่นเอง และ...ฉันจะไม่ไว้ชีวิตอัครบริรักษ์แม้สักคนเดียว”

“พี่เฟ่ยหลง”

“ฉันไม่ใช่พี่ของเธอ! ตระกูลหยางและอัคราบริรักษ์ไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป!!”

“อะ...เอ่อ...คุณหยางมีอะไรจะพูดกับฉันหรือคะ ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป คุยกันทางโทรศัพท์ได้...”

“เธอคิดว่าฉันดั้นด้นมาเมืองไทย เพื่อจะมาคุยโทรศัพท์ในประเทศกับเธองั้นเรอะ อีก 3 ชั่วโมง ถ้าเธอไม่ออกมาพบฉันล่ะก็ เตรียมพร้อมรับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เลย”

“ตกลงค่ะ แต่ฉันขอพาคนของฉันไปด้วยได้รึเปล่า คือ...ว่าฉัน...”

“ขี้ขลาด! แต่ก็เอาเถอะ ฉันเห็นว่าเธอเป็นแม่ลูกอ่อน จะยอมให้เธอสักข้อก็ได้ แล้วพบกันที่...ถ้า 3 ชั่วโมง ฉันไม่เห็นเธอล่ะก็ เตรียมฟังข่าวร้ายได้เลย”

หยางเฟ่ยหลงวางสายไปแล้ว แต่มือที่ถือหูโทรศัพท์ของทิพวรรณก็ยังสั่น เธอจะยอมให้เกิดเรื่องเศร้ากับครอบครัวอัคราบริรักษ์ไม่ได้ เธอยังมีลูกน้อยและเขาจะต้องเติบใหญ่ ฉะนั้นเธอจะขอเสี่ยงกับอะไรก็ตามที่กำลังรอเธออยู่ข้างหน้า

“สรวงสุดา” เธอตะโกนเรียกคนที่เป็นทั้งคนรับใช้ และพี่เลี้ยงลูกของเธอ

“ขา”

ทิพวรรณมองสาวร่างท้วมอย่างเป็นกังวล ไม่ใช่กังวลว่าสรวงสุดาจะเลี้ยงธัชชัยไม่ได้ หากแต่ความรู้สึกบางอย่างพุ่งวาบเข้าหัวใจ มันบอกว่าบางทีเธออาจไม่ได้กลับมาพบหน้าลูกอีก ใจหนึ่งสั่งให้เธอบอกเรื่องนี้แก่อรรถวัฒน์แต่อีกใจก็คัดค้านเพราะมันเสี่ยงเกินไป แน่นอนว่าสามีของเธอจะไม่ยอมให้เธอออกไปพบหยางเฟ่ยหลง แต่ถ้าเธอไม่ไปพบ ทุกคนในอัคราบริรักษ์อาจจะถึงจุดจบ

เธอไม่รู้ว่าหยางเฟ่ยหลงจะทำอย่างที่ขู่หรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจนักก็คือ ความร้ายกาจของตระกูลหยาง มังกรใหญ่แห่งเกาะฮ่องกงร้ายกว่ามาเฟียทุกแก๊งบนเกาะฮ่องกง

“ดูแลตาหนูธัชชัยให้ดีๆ นะ ฉันฝากแกไว้กับเธอด้วย”

“คุณจะไปไหนคะ”

“ฉันมีธุระสำคัญจะต้องทำ”

“ได้ค่ะ ดิฉันจะดูแลคุณหนูให้เป็นอย่างดี ไม่ต้องห่วงนะคะ”

ทิพวรรณพยักหน้าแล้วตบบ่าหนาของสรวงสุดา ก่อนจะหันไปอุ้มทารกน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน จุมพิตแผ่วเบาเหนือหน้าผากเล็กและไต่ลงยังพวงแก้มสีแดงนุ่มของลูกรัก

“เป็นเด็กดีนะลูก...ธัชชัย”

นั่นเป็นประโยคเดียวและประโยคสุดท้ายที่เธอได้พูดกับลูกน้อย ไม่มีน้ำตาให้เห็นแม้หัวใจจะสั่นเทาเหมือนคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว เธอถามตัวเองว่าจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องทำตามคำสั่งของมาเฟียใหญ่ บ้านเมืองมีขื่อมีแปรจะต้องกลัวอะไรกับคำข่มขู่ของเขา และคำตอบที่ได้รับซึ่งเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยินเพียงลำพัง ก็คือคำว่าอดีตที่เธอเคยเฝ้าถวิลหาแต่หยางเฟ่ยหลง

ผู้ชายคนนั้นคืออดีตคนที่เธอเคยรัก และเธอก็ยังคงความรู้สึกดีๆ ไว้ให้เขาอีกมากมาย

“ไปตามนายอุทิศให้ฉันที ฉันจะให้เขาขับรถให้”

“ค่ะ”

ร่างสูงใหญ่ของหยางเฟ่ยหลงไม่ได้อยู่ในสถานที่นัดพบ แต่อยู่ด้านหน้าและอิงสะโพกหมิ่นๆ กับกระโปรงรถ มีผู้ชายใส่สูทหลายคนยืนอยู่ใกล้ๆ พวกนั้นเป็นบอดี้การ์ดของเขา ท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจหากแต่ความจริงทุกคนกำลังพุ่งความสนใจไปยังทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเจ้านายใหญ่

บทก่อนหน้า
บทถัดไป