บทที่ 2 บทที่ 2
ท่ามกลางเสียงเปียโนอันไพเราะ มาคัสกลับได้ยินเสียงหวานใสคลอแผ่วเบา ดวงตาสีฟ้าภายใต้ปีกหมวกลายสก๊อตเหลือบขึ้นมองผู้คนที่จอแจกันอยู่หน้าเวที เบื้องหน้าของกลุ่มนักข่าวและแฟนคลับทั้งหลายที่ต่างเข้ามาทำข่าวและร่วมให้กำลังใจอัจฉริยะหนุ่มหล่อ มีร่างเล็กผมแกละยืนหลับตาพริ้ม รอยยิ้มประดับบนมุมปากลึกเมื่อเห็นในมือน้อยถือถุงไข่ทั้งสองมือ เขาหลับตาลงเพื่อวางสมาธิจดจ่ออยู่กับดนตรี จนกระทั่งเสียงเพลงหยุดลง
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วบริเวณห้องบอลรูมพร้อมเสียงดังเซ็งแซ่ทำให้เด็กสาวลืมตาขึ้นมอง ทันใดนั้นผู้คนจากด้านหลังก็เบียดกันมาถึงด้านหน้า เป็นเหตุให้ญารินดาถูกเบียดและล้มลงจนไข่ถุงหนึ่งแตกเละ แผลบนหัวเข่าถูกกดซ้ำเป็นครั้งที่สอง
“อุ๊ย!”
มาคัสเห็นดังนั้นก็กระโดดลงจากเวทีเข้าไปฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นก่อนที่เด็กน้อยจะถูกเหยียบ เป็นจังหวะเดียวกับที่หมวกของเขาร่วงลงจากศีรษะ เผยให้เห็นผมเส้นเล็กสีบลอนด์ล้อมกรอบใบหน้าขาวเข้มประดับด้วยดวงตาสีฟ้าใส เขาดึงร่างน้อยขึ้นไปบนเวทีก่อนที่แฟนคลับจะแห่กันเข้ามารุมทึ้ง แม้จะมีการ์ดคอยกันแต่ก็คงสู้แรงคนมากมายไม่ไหว
“อะไรกันนะเนี่ย ทำกรี๊ดกร๊าดกันเหมือนชะนีบ่าค่าง หรือไม่ก็แร้งกาคอยรุมทึ้งเหยื่อ น่าสมเพช”
เสียงสบถเบาๆ แต่คนในอ้อมแขนนั้นได้ยินชัดเต็มสองหู ญารินดาหันหลังไปมองคนที่กอดเธอแน่นจากด้านหลัง แล้วพลันร่างกายก็ชาวาบเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต ดวงตากลมเบิกโพลงอย่างหวาดกลัวสุดขีด
“กรี๊ดๆๆๆ”
มาคัสถึงกับผงะเมื่อเด็กสาวกรีดร้องเสียงลั่น เธอหลับหูหลับตากรี๊ดเสียงใสดังกลบเสียงจากแฟนคลับจนผู้คนนับหลายร้อยคนถึงกับเงียบเสียงและหยุดความเคลื่อนไหวราวกับถูกสาป
“เฮ้ๆ นี่สาวน้อยเธอหยุดร้องได้แล้วน่ะ”
ชายหนุ่มเอื้อมมือมาจะจับต้นแขนเล็กเพื่อปลอบโยน เขาคิดว่าเธอคงขวัญเสียกับคนมากมายที่กรูกันเข้ามาเหมือนแร้งทึ้ง แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่ทำให้ญารินดาหวาดกลัวจนแทบช็อกก็เพราะคนตรงหน้าต่างหาก
พอมือใหญ่สัมผัสต้นแขนเล็ก เด็กสาวก็สะบัดฉับแล้วโดยที่มาคัสไม่ทันตั้งตัว ถุงไข่ในมือน้อยก็กระทบกับใบหน้าจนเจ็บ แต่นั่นยังไม่เท่ากับไข่ไก่ที่แตกเลอะหน้าและเสื้อผ้าราคาแพงของเขา ร่างสูงถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะเช่นเดียวกับทุกคนที่ต่างมองมายังเขาเป็นตาเดียว
ญารินดายังคงกรีดร้องเสียงดังราวกับคนบ้า ร่างเล็กซุกหน้าลงบนพื้นเวทีเนื้อตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัวสุดขีด เสียงของเธอดังเข้าไปถึงในครัวและนางสมศรีก็จำได้ดีจึงวิ่งออกมาดู เธอกอดร่างลูกสาวแน่นไม่สนใจว่าใครจะมองมายังไง พวกเธอเป็นเพียงคนจนที่เกิดในสลัมจึงไม่อินังขังขอบหรืออับอายกับสายตานับร้อย แต่...
มาคัสตัวสั่นเทิ้มจนฟันกระทบกันดังกึก ความอับอายวิ่งวนอยู่รอบตัวก่อนพุ่งใส่ร่างจนกระอัก อัจฉริยะทางด้านดนตรีลุกขึ้นยืนเขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ดูแววตาของพวกนั้นสิ เหมือนกับขบขันในตัวเขาเสียเต็มประดา ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ใครเลยแม้กระทั่งเด็กคนนั้น เขาก็เป็นฝ่ายช่วยเธอแต่กลับได้รับสิ่งตอบแทนมาแบบชนิดที่เรียกว่า แทบแทรกแผ่นดินหนี
แสงแฟลชจากกล้องในมือนักข่าวต่างกดภาพของเขาในสภาพที่น่าเกลียด และแน่นอนว่าคงต้องเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันรุ่งขึ้น ร่างสูงวิ่งฝ่าผู้คนออกไปจากโรงแรมอย่างไม่อาจทานทนกับสภาพน่าสมเพชของตนไปมากกว่านี้ รวมทั้งป้าเฮเลนก็วิ่งตามหลานชายไปด้วยความคิดไม่ถึงว่าหลานชายจะมีสภาพเช่นนี้
จบกัน...อัจฉริยะทางด้านดนตรี อนาคตคงดับวูบ ข่าวคงประเคนไปต่างๆ นานา ดีไม่ดีอาจลงว่ามาคัสทำมิดีมิร้ายกับเด็กน้อยจนถึงขั้นเสียสติ ในช่วงที่กำลังชุลมุนอยู่นั้นก็เป็นได้
“มาคัส หลานจะไปไหน”
ป้าเฮเลนถามเมื่อตามหลานชายขึ้นรถได้ทัน ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วสูงจนผู้เป็นป้าต้องจับพนักพิงแน่น
“ป้าไม่เห็นหรือไง ชื่อเสียงของผมป่นปี้หมดแล้ว จะให้ผมยืนให้นักข่าวเก็บภาพน่าเกลียดนี่ไปขายหรือไง ผมไม่อยู่มันแล้วที่นี่” มาคัสสบถ ดวงหน้าคมแดงก่ำด้วยความโกรธ
“แล้วหลานจะไปอยู่ไหน หรือว่า...”
“ใช่แล้ว ผมจะไปอเมริกา ผมจะกลับไปอยู่บ้านเกิด”
“แต่ป้าคิดว่าตอนนี้หลานกำลังโด่งดังที่เมืองไทยมากนะ”
“ป้าก็ดีแต่พูด ไม่เห็นรึไงว่าตอนนี้สภาพผมเป็นยังไงบ้าง ผมคงทนอยู่ให้คนหัวเราะเยาะไม่ได้อีกต่อไป ผมจะไปอเมริกา ผมตัดสินใจแล้ว อย่ามาห้ามผมเสียให้ยาก”
ป้าเฮเลนเองเข้าใจสถานะของหลานชายดี ถ้าเป็นเธอก็คงไม่มีหน้าจะอยู่ที่เมืองไทยอีก ยิ่งดังมากเท่าไหร่พวกนักข่าวก็ยิ่งสนุกที่จะเอาข่าวไปลงเรียกยอดขายถล่มทลาย แต่ไม่สนใจกับคนที่ชื่อเสียงป่นปี้
เฮ้อ...เกิดอะไรขึ้นหนอ เด็กคนนั้นเป็นอะไรถึงได้ทำอย่างนี้กับหลานชายผู้โด่งดังของเธอ
“กรี๊ดๆ ญาญ่าๆ”
ญาญ่า หรือญารินดา อวัสดางค์ นักร้องสาววัย 22 ปี พาเรือนร่างอรชรขาวผ่องพร้อมรอยยิ้มหวานเข้าไปรับช่อดอกไม้จากแฟนคลับที่ต่างก็ตั้งใจนำมามอบให้ สาวน้อยซูเปอร์สตาร์โปรยยิ้มหวานมากเสน่ห์ให้ทุกคนในพินโนเปี้ยนโดม ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จุคนได้ถึง 30,000 คน
จากเด็กสาวที่เกิดในสลัมบัดนี้กลายเป็นนักร้องดังระดับซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย ใครจะรู้ว่าเด็กน้อยที่เคยเข้ารับการบำบัดทางจิตจะโด่งดังได้ถึงขนาดนี้ แม้แต่คนเป็นแม่ยังคิดไม่ถึงหรือกระทั่งคุณหมอเจ้าของไข้ นพ.ขจรศักดิ์ รัตนมงคล ก็คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยจะทำความฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้ การเปลี่ยนแปลงเป็นที่น่าพอใจหรือจะเรียกว่าดีเยี่ยมเลยก็เป็นได้ หลังจากเข้ารับการบำบัดเมื่อ 10 ปีก่อน อาการหวาดกลัวจนเกือบช็อกของเธอ ทำให้ทั้งคนเป็นแม่และหมอเจ้าของไข้ ต่างคิดว่าคงยากต่อการรักษา แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะมีความฝันเต็มเปี่ยมซ้ำยังมีพรสวรรค์ที่น่าชื่นชม หลังจากฟูมฟักรักษาเธอไม่นาน อาการของเด็กสาวก็ทุเลาลงด้วยเสียงเพลง
