บทที่ 7 ดรุณีป่า
“อ่อ ข้าบอกว่า เจ้าช่างน่าสงสารยิ่งนัก อืม เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้าชื่อ หลันฮวา”
“อืม เจ้าช่างเป็นกล้วยไม้ป่าที่กำลังผลิดอกสวยงาม ใยไม่อยู่ประดับป่า”
“ข้าอยากเห็นเมืองหลวงนี่คะ”
“แล้วบิดา มารดาของเจ้าไม่ว่าเอารึ?”
“พ่อกับแม่ข้าตายด้วยโรคไข้ป่า ตั้งแต่ข้ายังเด็ก ตาเลี้ยงข้ามาตั้งแต่เล็ก เมื่ออาทิตย์ก่อนตาออกไปล่าสัตว์ แล้วหายไป ข้ารอแล้วรอเล่า ตาก็ไม่กลับมา ข้าทั้งหิวทั้งกลัวจึงออกเดินมาเรื่อย ๆ กินผลไม้ป่าประทังชีวิต จนมาพบขบวนของใต้เท้า”
เด็กสาวชาวป่า หมอบลงอีกครั้งร้องไห้ สาบคอเสื้อไหวตามแรงสะอึกสะอื้นเผยให้เห็นเต้าน้อยวับแวบ กระตุ้นมังกรของใต้เท้าฉีให้ลุกซู่จนแทบอยากจะดึงดรุณีน้อยที่โหยไห้มากอดไว้แนบอก
“ฮือ ๆ ใต้เท้าโปรดเมตตาให้ข้าน้อยไปด้วยเถิด ข้าขอติดขบวนท่านไปจนกว่าจะถึงเมืองฉีซานเท่านั้น อะ ฮือ ๆ”
“เจ้าช่างเป็นเด็กสาวกำพร้าที่น่าสงสาร น่าสงสาร ข้าเป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่ หากปล่อยให้เจ้าเผชิญชะตากรรมในป่า ใครรู้เข้าก็จะติฉินนินทาเป็นแน่แท้ เฮ่อ”
ใต้เท้าฉีเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจเสียงดังให้ได้ยินกันถ้วนหน้า
“ข้าคิดว่า เจ้าเป็นเพียงดรุณีเล็ก ๆ ติดขบวนไปด้วยหนึ่งคนก็คงจะไม่ลำบากอะไร”
“ขอบคุณใต้เท้ามาก ขอบคุณ”
เด็กสาวชาวป่าคำนับโขกศีรษะลงพื้นอย่างสุดแสนดีใจ
ผิดกับผู้ชายอีกคนที่ร่างสูงใหญ่องอาจบนหลังม้า คิ้วคมเข้มของเขาขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากสีน้ำตาลอ่อนรับกับผิวสีทรายของบุรุษเพศอันทรงสง่า แม้เขาจะรู้สึกไม่เห็นด้วยที่บิดาให้เด็กหญิงชาวป่าติดขบวนไปด้วย แต่อันเหว่ยก็ไม่ออกปากทักท้วง
“พ่อบ้าน พ่อบ้าน”
ใต้เท้าฉี ตะโกนเรียกพ่อบ้านที่สุดแสนจะรู้ใจ ด้วยวัยไล่เลี่ยกัน
สักพักพ่อบ้านรูปร่างผอมสูง สวมเสื้อสีกรมท่าเรียบร้อย วิ่งเข้ามาหยุดใกล้เกี้ยว แล้วประสานมือกุมไว้
“ขอรับใต้เท้า”
“หาเสื้อผ้าสะอาด ๆ สักชุดให้นางเปลี่ยนหน่อย เสื้อนางดูจะเก่ามากแล้ว”
พ่อบ้านเหลือบมองเด็กสาวที่นั่งคุกเข่า ก้มหน้า ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นและคาบน้ำตา หากชำระล้างก็คงจะเผยแก้มนวลใสของวัยสาวออกมาให้เห็นเป็นแน่แท้
“ขอรับใต้เท้า
พ่อบ้านรับคำ ตาเล็กหยีสบกับดวงตาแวววับของผู้เป็นนายอย่างรู้ใจ ก่อนที่จะหันไปเอ่ยกับดรุณีน้อยที่นั่งก้มหน้าอย่างเจียมตัว
“เจ้า ตามข้ามา”
เมื่อหลันฮวาตามหลังพ่อบ้านออกไป ใต้เท้าฉีจึงสั่งให้หยุดเกี้ยวพอรอใต้ร่มไม้ใหญ่
สักพักใหญ่เป็นเวลามากพ่อให้ทหารแบกหามได้พักให้หายเหนื่อย พ่อบ้านก็เดินนำหลันฮวากลับมาร่วมขบวน
เด็กสาวที่เคยขะมุกขะมอมเนื้อตัวเปื้อนด้วยคราบโคลน บัดนี้เนื้อตัวสะอาดเกลี้ยงเกลา ผิวสาวนวลผ่องลออราวกับคนละคน พวงแก้มที่เปื้อนคราบน้ำตาเมื่อสักครู่ บัดนี้เป็นสีแดงระเรื่อ ด้วยความเขินอายที่ต้องถูกสายตานับสิบ ๆ คู่จ้องมอง
“อะ เอ่อ มีเขางอกออกมาบนหัวข้าหรือไม่?”
หลันฮวาถามออกมาตามประสาซื่อ ใต้เท้าฉีอมยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ไม่เลย ไม่เลย เจ้าสวยมากต่างหาก”
“ขะ ข้าหรือสวย”
เด็กสาวตาโต ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะมีคนชมว่างาม
“ใช่ ๆ หลันฮวา กล้วยไม้ป่าที่งดงาม ฮ่า ฮ่า”
“ข้าคิดว่าเราควรจะออกเดินทางได้แล้ว เราเสียเวลามากพอแล้ว หากขืนชักช้าเกรงว่าจะถึงเมืองฉีซานยามตะวันลับฟ้าไปแล้ว”
เสียงทุ้มห้าวหาญของผู้เป็นบุตรชายออกความคิดเห็น เพียงตาคมเข้มของเขามองเด็กสาวผ่าน ๆ ก็ทำให้ดรุณีป่าถึงกับขนลุกซู่
ใต้เท้าหลีมองตามหลังอันเหว่ยที่กระทุ้งม้าควบขึ้นด้านหน้าขบวน บุตรชายของเขาคนนี้รูปร่างสง่างามเหมือนเขาตอนหนุ่ม ๆ ไม่มีผิดเพี้ยน แต่นิสัยเคร่งครัดเจ้าระเบียบได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นมารดาไม่มีบกพร่อง
เพราะความเจ้าระเบียบและความเข้มงวดของฮูหยินจึงทำให้ใต้เท้าฉีไม่กล้าแม้จะแตะต้องข้ารับใช้สาวสวยภายในเรือน ทำได้เพียงแค่ชายตามอง ดังนั้น หากมีเหตุให้ไปราชการต่างเมืองใต้เท้าฉีจะรีบไปก่อนกำหนดเพื่อที่จะได้หาความสำราญยามไกลหูไกลตาฮูหยิน
“ฮ่า ๆ บุรุษหนุ่มมักเลือดร้อน เจ้าอย่าถือสาบุตรของข้าเลยนะ”
ใต้เท้าฉีเอ่ยกับหลันฮวาที่ก้มหน้าอย่างประหม่า นางไม่เคยชินกับคำพูดหวานหู นุ่มนวล ไม่คุ้นเคยกับเสื้อสีขาวบางที่ทาบทับบนตัวรัดกายจนเห็นกลมกลึงไปทุกสัดส่วน
“เอาหละ เจ้าขึ้นมานั่งบนเกี้ยวกับข้าสิ ขาน้อย ๆ ของเจ้าคงเดินไม่ถึงเมืองฉีซานหรอก”
“ใต้เท้าเมตตาขามากไปแล้ว ข้าเดินไหว”
“บนเกี้ยวข้ามีขนมและผลไม้อร่อย ๆ ด้วยนะ เจ้าจะได้กินไปตลอดทาง”
เด็กสาวชาวป่าเงยขึ้นแทบจะทันที ตาของหล่อนเป็นประกายสุกใสที่ได้ยินคำว่าขนมและอาหาร
“ขอบคุณใต้เท้าที่เมตตา ขอบคุณ”
“มาสิ”
ใต้เท้าฉีเดินนำเด็กน้อยให้ขึ้นนั่งบนเกี้ยว
เมื่อทั้งคู่นั่งข้างในเป็นที่เรียบร้อย พ่อบ้านจึงปิดผ้าม่านบังไว้จนมิด ก่อนออกคำสั่งเคลื่อนขบวน
“ยกเกี้ยวววววววววว เดินหน้า”
ภายในเกี้ยวมีพื้นที่สำหรับนั่งเพียงคนเดียวเมื่อมีเด็กสาวเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งคน จึงทำให้ต้องนั่งชิดเนื้อแนบเนื้อ ใต้เท้าฉีรู้สึกยินดีกับเนื้อสัมผัสนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ขนมลองชิมดูสิ”
“ขอบคุณ”
มือขาวเนียนรับขนมไป แล้วยัดเข้าปากอย่างว่องไวเพราะนางไม่ได้ทานอะไรมาเลยตั้งแต่เมื่อวาน
“นั่งสบายหรือเปล่า”
ใต้เท้าฉีชวนคุยเมื่อเห็นนางหยุดทานขนม แล้วดื่มน้ำ เศษขนมติดอยู่ที่ริมฝีปากอิ่ม
“สบายมาก”
“แต่นั่งแบบนี้จะสบายกว่านะ”
ใต้เท้าฉีออกแรงยกดรุณีป่า ร่างน้อย ๆ ของนางก็เลื่อนขึ้นนั่งบนตักแกร่งอย่างง่ายดาย
“อ้ายยยยย”
นางตกใจถึงกับอุทานออกมา แก้มนวลขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความใกล้ชิดบุรุษ ตั้งแต่จำความได้ผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้านก็ไม่เคยอุ้มนางให้นั่งตักในท่าหันหน้าเข้ากัน อกชิดอก นมชิดนม จมูกจนจมูก เช่นนี้มาก่อน
“ฮ่า ๆ ฮ่า ไม่ต้องตกใจ ข้าแค่จะพาเจ้าเล่นอะไรที่มันสนุก ๆ”
ใบหน้ากระเหี้ยนกระหือรือก้มลงกระซิบแนบใบหู ความสยิวเล็ก ๆ ทำให้ดรุณีป่าเบี่ยงหลบ เอียงอาย ก่อนเอ่ยถาม
“สนุกเหรอ?”
ดรุณีน้อยบนตักตาลุกวาว อยากรู้อยากเห็น อะไรที่ว่าสนุก
“ใช่ สนุกจนถึงสวรรค์ แต่มีเงื่อนไขว่าเจ้าห้ามส่งเสียงดัง หากส่งเสียงดังเทพยดาจะพิโรธ และสวรรค์ก็จะไม่เห็น”
“ได้! แค่ไม่ส่งเสียง”
หลันฮวารับคำอย่างกระตือรือร้นอยากเห็นสวรรค์ใจจะขาด
“อ่า ขั้นแรกข้าจะค่อย ๆ เปิดพลังสวรรค์ของเจ้า”
“ยังไง”
“ยังงี้ไงเล่า”
