บทที่ 1 ปฐมบท 1 กำราบให้สิ้น1

เนินเขาหินปูนสูงตระหง่านเหนือพื้นน้ำสีคราม  อันเป็นธรรมชาติสรรสร้างภูมิทัศน์ราวกับความฝัน

ทะเลยามสายัณ อาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าและท้องทะเลกลายเป็นสีแดงโลหิต บรรยากาศเหนือมวลน้ำเยียบเย็นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ

เรือรบขนาดใหญ่หลายลำเคลื่อนตัวล้อมรอบเข้ามา ทหารเกราะเหล็กรูปร่างกำยำสูงใหญ่บนเรือหลายร้อยชีวิตกำลังยกคันธนูขึ้นเตรียมยิง ทุกสายตามองปลายธนูอย่างแข็งกร้าว กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงเครียดอย่างยิ่ง

ภายในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลที่เคยเขียวชอุ่ม บัดนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเหล่าผู้คน กำเนิดธารโลหิตแดงฉานไหลหลากไปตามรากไม้

สายลมเย็นเยียบม้วนตัวอย่างบ้าคลั่งราวพายุที่เก็บกดมาแรมปี หอบโชยทุกความหนาวเหน็บที่ผสานกลิ่นคาวคละคลุ้งทั่วบริเวณมาโอบรอบเรือนร่างระหงสีชาด

นางคือหมิงเยว่

เจ้าของหน้ากากเงินยวงดุจสีนวลแห่งดวงจันทร์ ผู้ยืนตระหง่านเบื้องหน้าสมุนโจรทุกคน

ท่ามกลางซากศพมากมาย ท่ามกลางชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ที่ฉีกขาดกระจายเกลื่อน ภายใต้ความรู้สึกอันหลากหลายที่สาดซัดอย่างคลุ้มคลั่งยามก้มมองเศษซากชีวิตที่สิ้นสูญของคนที่เคยคุยเล่น เคยหยอกล้อ เคยหัวเราะ เคยทะเลาะกันทุกวัน ท่ามกลางแสงแดดอันเดือดระอุส่องกระทบหน้ากากเงินบนใบหน้าส่งผลให้ดวงเนตรงดงามภายใต้หน้ากากนั้น...

ช่างดูวาววับจับตา ทว่ากลับเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ

หญิงสาวชุดสีดำคาดแดงมองคล้ายรัตติกาลที่แขวนเสี้ยวจันทร์สีเลือดยืนหยัดเหนือกลุ่มคนอย่างมั่นคงดุจหินผา นางยกมือชี้ดาบขึ้นฟ้าท้าแสงตะวันที่กำลังแผ่รังสีแรงกล้า

“เหล่าพี่น้องข้า...จงฟัง!”

เสียงของหมิงเยว่สะท้อนก้องสะเทือนห้วงอารมณ์ ดวงตาคู่กลมแต่กร้าวแกร่งเกินบุรุษกวาดมองเหล่าพี่น้องกองโจรทมิฬที่ยังเหลือรอดชีวิต

“พวกเจ้าจงไปให้ไกล ไปใช้ชีวิตปกติเป็นคนธรรมดา จงลืมเสียว่าเคยทำสิ่งใดไว้ วันหน้า หากพบเห็นใครตาย จงปล่อยให้ตาย พบใครเดือดร้อนก็อย่าได้สอดมือยุ่มย่าม ยามใดก็ตามเมื่อพบเห็นความอยุติธรรม จงปล่อยวางเสีย!”

“พี่ใหญ่!”

แม่นางน้อยเจ้าของหน้ากากเงินที่วับวาวไม่แตกต่างจากสตรีเหนือกลุ่มตะเบ็งเสียงไม่ยินยอม

“หากจะตายก็ตายได้ด้วยกัน ข้าไม่มีทางทิ้งท่าน!”

คนเป็นพี่ใหญ่หันมาคำราม “ซิงเยว่!” นางลดดาบในมือลงเพื่อนำมาจ่อคอเจ้าของนาม “มีเพียงเจ้าที่ข้าไว้ใจให้คุ้มครองพี่น้อง อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”

“แต่!”

“ไม่มีแต่!”

“พี่หมิงเยว่...”

“ซิงเยว่...อย่าทำให้ข้าตายตาไม่หลับเพราะเจ้า จงไป!”

หมิงเยว่ไม่คิดเจรจาอีก นางสะบัดฝ่ามือคราหนึ่ง   ฝุ่นขาวกระจายคลุ้ง

รอบด้านพลันขาวโพลนไม่ต่างจากสมอง มองไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือตนเอง

ครู่เดียวฝุ่นขาวก็จางหาย รอบด้านคงเหลือเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาคนเป็นพี่ใหญ่

กลิ่นอายอันงดงามแต่น่าเกรงขามก็เช่นกัน ทุกสิ่งอันตรธาน มีเพียงเงาไม้กระเพื่อมไหวท่ามกลางหมอกสีจาง คล้ายควันไฟบางเบา

ซิงเยว่ทำท่าจะวิ่งตาม หากแต่คล้ายมีม่านมายาขวางกั้น ไม่อาจข้ามผ่านได้แม้ครึ่งก้าว มีแต่ต้องหันหลังแล้ววิ่งไปอีกทางเท่านั้น

สาวน้อยหรี่ตา ฝ่ามือที่กำดาบสั่นระริก นางกัดปากจนเลือดซึม ก่อนเผยอสั่งการแก่เหล่าสมุนโจรที่เหลือรอดด้วยเส้นเสียงเฉียบขาด

“พี่น้องข้า...จงลืมทุกสิ่งให้หมด ปลดหน้ากากออก ค่ายโจรจันทราแดงไม่เคยปรากฏต่อใต้หล้า”

ทุกคนกลั้นน้ำตาประสานหมัดแบบไร้เสียง

การปลดหน้ากากคือการทำลายตัวตนโจรถ่อยจนสิ้น คงเหลือเพียงคนธรรมดาสามัญ ไร้ซึ่งพิรุธป่าเถื่อนต่ำช้าให้ใครสังเกตเห็น จนนำไปสู่การจับกุมเค้นอดีตแล้วลงทัณฑ์

ซิงเยว่ประสานหมัดตอบก่อนสั่ง “จงไป!”

เงาดำหลายสายพลันอันตรธานหายไปไร้ร่องรอย

ห่างจากที่ซ่องสุม เหนือพสุธากลางหุบเขามรณะ ร่างระหงชุดดำคาดแดงยอมเผยตัวออกมาในที่สุด

ท่ามกลางฝุ่นดินสีดำจัดตลบฟุ้งหอบกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งโดยรอบบริเวณ แม่ทัพหนุ่มยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ลำตัวของเขาตั้งตรงเหนือกลุ่มทหาร รอบกายแผ่ซ่านความอำมหิตผสานกลิ่นอายสังหารแห่งเทพสงครามเหนือหมู่มวล

ในระยะสายตาคมกริบท่ามกลางแสงอาทิตย์คมกล้า เขามองเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนสงบนิ่งภายใต้แสงตะวันอยู่ตรงนั้น  มองคล้ายราชันแห่งขุนเขา ประหนึ่งปราการหินที่ก่อตัวขึ้นปกปักษ์พิทักษ์ทุกสรรพสิ่งบนผืนพนา

ร่างสูงในชุดเกราะของแม่ทัพคุมทหารแคว้นเยี่ยนยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ในขณะที่เรียวตาคมค่อยๆ หรี่แคบลงเพื่อเพ่งพิศนาง

ภาพสะท้อนของนางให้ความรู้สึกคล้ายกำลังมองเห็นปีศาจสาวผู้ชื่นชอบคุกคามมนุษย์ ความเย็นเยียบยิ่งนานยิ่งแผ่กำจายความเย็นกระด้างคล้ายน้ำแข็งค้างเกาะกุมตรึงแน่นบนผิวหนังผู้คน

นางชี้ดาบขึ้นฟ้ากล่าววาจาท้าทายต่อเขา

“เจ้าเรียกข้าว่าผู้ร้ายต่ำช้า แต่สวรรค์ย่อมรู้ดี นรกยิ่งเห็นพ้อง ค่ายโจรจันทราแดงของข้าเหนือกว่ากองทัพทหารหลายขุมนัก”

ทว่าชายหนุ่มยังคงมองนิ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

หญิงสาวเจ้าของร่างระหงผู้มีหน้ากากเงินบดบังใบหน้าจนเหลือเพียงดวงตาแวววาวปานแม่เสือค่อยๆ ลดดาบลงชี้มาที่เขา พลางแค่นเสียงหยัน

“แม้วันนี้ข้าจำต้องตายด้วยน้ำมือแม่ทัพผู้เกรียงไกรเช่นท่านก็นับว่าเป็นบุญที่ได้เกิดมา...ทว่าคงมีแต่ท่านที่ต้องก้มหน้ารับใช้ขุนนางทรราชสืบไป ช่างน่าเวทนา!”

รองแม่ทัพคนหนึ่งถลันขึ้นหน้า

“สามหาว!”

เขาผู้นี้มีนามว่าจิ้นเหอ ชักกระบี่พร้อมพุ่งทะยาน กระทั่งแม่ทัพหนุ่มผู้ถูกหยามเหยียดต้องยกฝ่ามือห้ามปรามถึงได้กลับไปยืนที่เบื้องหลังดุจเดิม

“ท่านแม่ทัพหยาง นางโจรผู้นี้...”

รองแม่ทัพจิ้นยังพูดไม่ทันจบ หยางเจี้ยนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจคราหนึ่ง อีกฝ่ายถึงได้สงบปากคำ

แม้รู้ดีถึงตื้นลึกหนาบางทว่าหยางเจี้ยนยังคงเงียบงัน ด้วยหน้าที่สำคัญค้ำคออยู่ ค่ายโจรจันทราแดงจักต้องถูกกวาดล้างให้สิ้นซากเท่านั้น!

บทถัดไป