บทที่ 3 ตอนที่ 3

ความสาวเป็นสิ่งมีค่า ใครที่มีลูกสาวสวยก็เหมือนมีทรัพย์นับแสนนับล้าน โดยเฉพาะสวยๆ อย่างหนูนุชนภางค์ด้วยแล้ว รับรองว่าถ้าจะหาสามีรวยๆ สักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

คุณหญิงสดศรีเอ่ยด้วยความเชื่อมั่น

“ดิฉันไม่หวังสูงหรอกค่ะคุณหญิง... ขอแค่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนดี มีฐานะพอที่จะช่วยกอบกู้ฐานะการเงินของครอบครัวได้ และสามารถเลี้ยงดูลูกสาวดิฉันไม่ให้ลำบากก็พอแล้วละค่ะ”

คุณนายวิไลกล่าวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

“เพื่อนๆ คุณหญิงคุณนายในสโมสรที่ฉันรู้จักก็มีลูกชายที่ยังโสดอยู่หลายคน ฐานะก็จัดว่าร่ำรวยด้วยกันทั้งนั้น แต่ฉันคิดว่าหน้าตาอย่างหนูนุชภางค์ถ้าจะหาสามีทั้งที... ต้องให้ได้ดีกว่าพวกลูกๆ นายทหาร เอาเป็นว่าฉันรู้จักนักธุรกิจคนหนึ่ง เรื่องฐานะไม่ต้องพูดถึง เพราะว่านายคนนี้มีทรัพย์สินเป็นหมื่นล้าน เพราะทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และค้าที่ดิน”

คุณหญิงสดศรีเกริ่นถึงเศรษฐีที่เล็งเอาไว้ให้นุชนภางค์

“ใครกันหรือคะคุณหญิง?”

นางวิไลขมวดคิ้วมุ่นด้วยความอยากรู้ขึ้นมาทันที

“เมฆา อัครพลไพศัลย์สวัสดิ์”

คุณหญิงสดศรีบอก

ชื่อและนามสกุลที่ได้ยินทำเอานางวิไลยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เพราะว่า ‘เมฆา’ คือเศรษฐีชื่อดัง ข่าวคราวของเขามักจะปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเขา

“แต่คุณเมฆาเพิ่งมีข่าวว่าหย่ากับภรรยาใช่ไหมคะ... คนเดียวกับที่ดิฉันได้ยินมาหรือเปล่าคะ?”

นางวิไลทำหน้าสงสัย

“ใช่... เมฆาเดียวกันนั่นแหละ”

คุณหญิงบอกตรงๆ ถึงชายผู้ซึ่งหล่อนตั้งใจจะชักนำให้นุชนภางค์ได้รู้จัก ครั้นเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของนางวิไล หล่อนจึงรีบกล่าวต่อ

“อันที่จริงพี่ไม่อยากให้มองว่าผู้ชายที่เคยผ่านชีวิตสมรสมาแล้วนั้นเหมือนของมีตำหนิ อยากให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย การที่เราได้ยินข่าวว่านายเมฆาหย่าร้างกับเมียเก่าจนเป็นข่าวครึกโครมถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะว่าเท่ากับเขาได้ประกาศให้สังคมได้รับรู้ว่าเขาไม่มีพันธะ พร้อมที่จะกลับมาครองโสดอีกครั้ง”

คุณหญิงสดศรีเชียร์นายเมฆาคนนี้จนออกนอกหน้า หากนางวิไลก็เห็นจริง ด้วยตัวหล่อนเองก็เกิดและเติบโตมาในสังคมที่ให้คุณค่าและยกย่องผู้ชายเป็นใหญ่ จึงไม่แปลกอะไรถ้าสังคมจะให้ ‘ค่า’ ของความเป็น ‘ผู้หญิง’ กับ ‘ผู้ชาย’ ต่างกัน

ด้วยเหตุนี้การที่ผู้ชายมีครอบครัวแล้วหย่าร้าง จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ต่างจากผู้หญิงที่ผ่านการสมรสและหย่าร้างมาแล้ว มักจะถูกมองว่าเป็นของมือสองในทันที

“แล้วคุณหญิงคิดว่าคุณเมฆาคนนี้... เอ่อ จะชอบยัยนุชหรือเปล่าคะ”

นางวิไลเรียกชื่อนุชนภางค์สั้นๆ ว่า ‘นุช’ จนติดปาก

“ฉันมั่นใจ”

คุณหญิงพยักหน้า ยกพัดจีบขึ้นกระพือเบาๆ ด้วยความเคยชิน ทั้งที่อากาศภายในห้องรับแขกก็ไม่ร้อน

“แล้วดิฉันต้องทำยังไงบ้างคะ”

นางวิไลสงสัย

“วันมะรืนจะมีงานเลี้ยงบนเรือสำราญของพวกบรรดาไฮโซในวงสังคมชั้นสูง มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมืองระดับรัฐมนตรีมาร่วมงานหลายคน อันที่จริงคนจัดงานตั้งใจจะให้เป็นงาน ‘จับคู่’ นั่นแหละ ส่วนมากก็มากันทั้งครอบครัว จะเรีบกว่างาน ‘อวดลูกอวดผัว’ ก็ไม่แปลก ใครที่มีลูกสาวสวยก็พามา ‘จับผู้ชาย’ แต่หลายรายก็มีวัตถุประสงค์ที่หลากหาย คนที่รวยล้นฟ้าอยู่แล้วก็อยากให้ลูกๆ ได้แต่งงานกับคนที่มีฐานะเท่าเทียมกัน... เรือล่มในหนองทองจะไปไหน แต่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาร่วมงานก็เพราะหวังจับผู้ชายรวยๆ นั่นละ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในงานก็เศรษฐีทั้งนั้น หลังจากงานเลี้ยงครั้งนี้พี่เชื่อว่าจะต้องมีหนูตกถังข้าวสารมากมาย”

คุณหญิงสดศรีสาธยายยืดยาว กล่าวถึงจุดประสงค์ของการจัดงานกาล่าดินเนอร์บนเรือสำราญสุดหรูได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ที่รู้ละเอียดยิบก็เพราะว่าหล่อนคลุกคลีกับพวกเศรษฐีและผู้ดีมีเงินมาทั้งชีวิต

คำพูดที่ว่า ‘หนูตกถังข้าวสาร’ และคำว่า ‘จับผู้ชาย’ ที่คุณหญิงเจ้าของคฤหาสน์เอ่ยออกมาเมื่อครู่ สะกิดใจของนางวิไลเข้าอย่างจัง ด้วยการที่หล่อนบากหน้ามาขอความช่วยเหลือในครั้งนี้ก็เพราะแอบคาดหวังว่าจะเป็น ‘หนู’ ที่โชคดีได้ตกถังข้าวสารกับเขาบ้าง แม้จะอดละอายใจไม่ได้ ว่าสิ่งที่ตัดสินใจกระทำลงไปนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับการเอาลูกสาวมาขายแลกเงิน

“วันมะรืนเราไปงานเลี้ยงด้วยกัน”

คุณหญิงสรุป

“แต่ดิฉันไม่ได้รับเชิญนะคะคุณพี่”

นางวิไลเอ่ยขึ้นด้วยความเจียมตัว

เมื่อก่อนตอนที่สามียังเป็นอธิบดีกรมป่าไม้หล่อนเคยเฉิดฉายอยู่ในวงสังคมชั้นสูงเช่นกัน หากภายหลังจากครอบครัวประสบภาวะวิกฤติทางการเงินรุนแรงถึงขั้นธุรกิจครอบครัวต้องปิดกิจการลงอย่างน่าเศร้า เพื่อนฝูงที่เคยคบหาต่างก็พากันหนีหาย ห่างเหินออกไปทีละคนสองคนจนทุกวันนี้ไม่ว่าจะเหลียวซ้ายแลขวาไปขอความช่วยเหลือกับใคร ก็พบแต่ความมืดมน... ว่างเปล่า จะมีก็แต่คุณหญิงสดศรีนี่แหละ ที่ยังรักษามิตรภาพเอาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยนแปลง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป