บทที่ 2 ตอนที่1 หานชิงหลินผู้อ่อนแอ 1
แคว้นต้าถังนับได้ว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับต้นๆ ของทุกดินแดนในใต้หล้า
มีเมืองเล็กเมืองน้อยกระจายไปทั่ว ทั้งอาณาเขตห่างไกลระหว่างชายแดนกับเมืองหลวง ทั้งที่มีภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน
ภูเขารายล้อมรอบด้านแห่งหนึ่ง ด้านในมีหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ ซึ่งถูกเรียกขานว่า ผิงเหยียน
ผู้คนที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้มีฐานะหลากหลาย ตั้งแต่คหบดีจนถึงยาจกเร่ร่อน
บุรุษกับกิเลสตัณหาเป็นของคู่กัน อยู่ที่ว่าจักสามารถเติมเต็มให้ตนเองได้หรือไม่
แม้เป็นเพียงพ่อค้ามิใช่ขุนนางใหญ่โตอันใด แต่หากพอมีเงินมากสักหน่อย ประเมินตนเองแล้วคิดว่าดูแลได้ไม่ขัดสน ก็มักจะรับสตรีหลังเรือนเพิ่มความสำราญยามค่ำคืน ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนในหมู่บ้านผิงเหยียนที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้
ทางทิศใต้ของหมู่บ้านมีบ้านเรือนหลายหลังตั้งเรียงราย ละแวกนั้นมีบ้านของสกุลหนึ่งอาศัยอยู่ ผู้นำครอบครัวเป็นพ่อค้า มีภรรยาสองคน มีลูกสามคน
ชิงหลิน เป็นบุตรสาวคนโตของบ้าน มีใบหน้าอ่อนหวาน นิสัยอ่อนโยน แม้มิอาจเทียบเคียงกับคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่ระดับหมู่บ้านชาวผิงเหยียนแห่งนี้ก็นับเป็นหญิงสะคราญโฉมผู้หนึ่ง ทว่าน่าเสียดาย ชิงหลินกลับเป็นสตรีอ่อนแอแลดูไร้ค่าเพราะโง่เขลาเบาปัญญาในทุกเรื่องราว เสียงเบา พูดช้า กิริยานุ่มนวลค่อนไปทางเนิบนาบ ท่วงท่าเชื่องช้า พาให้บางคนมองแล้วรู้สึกขัดตา เนื่องจากมารดามีโรครุมเร้ายามตั้งครรภ์
มารดาของชิงหลินมีนามว่าเจียหรู
เมื่อสามีเปรียบดั่งท้องฟ้า
คือทุกอย่างของสตรีผู้เป็นภรรยา
เจียหรูจึงรักสามีมาก เคารพเทิดทูนเหนือทุกสิ่ง ยินยอมสามีทุกอย่าง มองเขาสูงส่งยิ่งกว่าเทพยดาบนสวรรค์
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือไม่รักชิงหลินสักเท่าใด เหตุผลเพราะยามตั้งครรภ์นางได้รับความทรมานมาก เจ็บป่วยเสียจนแทบจะทนไม่ไหว ยามคลอดยังเกือบตาย
บุตรสาวนามชิงหลินทำมารดาอย่างเจียหรูแทบจะเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งยังทำให้สามีที่อยากได้บุตรชายต้องผิดหวัง
ซ้ำร้ายระหว่างที่เจียหรูตั้งครรภ์ชิงหลิน สามียังเอาใจออกห่าง ไม่ดูแลทะนุถนอมเท่าใด ห่วงแต่กิจการวาณิชนอกบ้าน เดินทางค้าขายไม่เว้นวัน
กระทั่งพาอนุเข้าเรือนมาด้วยหนึ่งคน
ยามเจียหรูอยู่ไฟ สามียังขลุกอยู่แต่เรือนอนุนานนับเดือน
สตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา มิได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน มิได้ฝึกสติปัญญาให้ฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งมิได้มีจิตใจอันสูงส่ง จิตสำนึกใดๆ ไม่เคยขัดเกลา สัญชาตญาณที่มีจึงต่ำตม ทั้งชีวิตขึ้นอยู่กับสามี เจียหรูจึงคิดว่าความผิดทั้งหมดล้วนเป็นเพราะชิงหลิน นางช้ำใจยิ่งนัก นึกรักธิดาคนนี้ไม่ลงเลยสักนิด
เพราะนอกจากจะตั้งครรภ์อย่างทรมาน ยังเปิดช่องว่างให้สามีนอกใจ
เจียหรูคิดว่า หากนางตั้งครรภ์แล้วไม่อ่อนแอจนเกินไป กระทั่งร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมหมดความงามหลายส่วนเช่นนี้ สามีคงไม่เบื่อหน่ายกันง่ายๆ เป็นแน่
และที่สำคัญ หากนางคลอดบุตรชาย ชีวิตหลังแต่งงานคงไม่กลายเป็นเช่นนี้
บุตรชายย่อมดีกว่าบุตรสาว...
เมื่อเป็นเช่นนั้น บุตรชายอีกคนของเจียหรูที่คลอดทีหลัง จึงได้รับความรักความใส่ใจไปเต็มเปี่ยม ชิงหลินที่เป็นบุตรสาวซึ่งไร้ความหมายอยู่แล้ว จึงถูกละเลยกลายเป็นส่วนเกินทันที
ทั้งนี้ ตั้งแต่ชิงหลินเกิดมา ครอบครัวมักจะเกิดปัญหาการค้าต่างๆ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เด็กคนนี้ทำมารดาร่างกายอ่อนแอยังไม่พอ ยังทำให้การเงินบิดาขัดสนไม่คล่องมือ ติดต่อการค้ายังสะดุดไม่ราบรื่น แต่พอมีบุตรชายอีกคน การเงินก็ดีขึ้น
บิดาของชิงหลินมีนามว่าหานอี้ซวน
หานอี้ซวนเป็นบุรุษให้ความสำคัญกับบุตรชายผู้สืบทอด มากกว่าบุตรสาวที่ต้องแต่งงานออกไปคล้ายสาดน้ำ
ครั้งที่เจรจาการค้า บังเกิดการคุยถูกคอกับสหายผู้หนึ่ง จึงเอ่ยปากยกบุตรสาวให้อย่างง่ายดาย
เป้าหมายคือสร้างเส้นสายการค้าที่กว้างขึ้น เพิ่มช่องทางทำเงินให้ตนเอง
สหายผู้นั้นมีบุตรชายนามว่าจางฉวน
หลังจากตกลงกันแล้วจึงอนุญาตให้คู่หมั้นได้เจอหน้าพูดคุยกันบ่อยครั้งตั้งแต่เยาว์วัย
ทั้งชิงหลินและจางฉวนจึงสนิทสนมรักใคร่กัน นัดพบกันทุกวัน รอเพียงถึงเวลาอันเหมาะสมก็แต่งงานสร้างครอบครัว
บ้านสกุลหาน ภายในโถงรับรองของเรือนไผ่หยก
“อ๊ะ! พี่ฉวน” เสียงแผ่วหวานของดรุณีน้อยดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มเมื่อพวงแก้มถูกปลายจมูกโด่งสันฉกด้วยการหอมไปหนึ่งที
สาวน้อยเอียงหน้าหนี “ไม่เอาเจ้าค่ะ มันไม่งาม”
“จะเป็นไรไปเล่า?”
เสียงทุ้มต่ำฟังดูอู้อี้อยู่ริมหู พร้อมลมหายใจร้อนกรุ่น รินรดยามริมฝีปากหยอกเอิน “ขอข้ามองเจ้าใกล้ๆ นะ”
“อ๊ะ!” ชิงหลินหดคอบ่ายเบี่ยง รู้สึกร้อนวูบวาบอับอาย
จางฉวนเอ่ยอย่างเอาแต่ใจกับคู่หมั้นของตน “ในเมื่อภายหน้าเราสองคนต้องแต่งงานกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จะช้าจะเร็ว เจ้าย่อมเป็นของข้า วันนี้หากสมปรารถนา ไยมิใช่สมควรแล้ว”
น้ำเสียงเข้มหนักดังพร้อมกับเสียงขยับริมฝีปากกดจูบที่ลำคอระหง และเสียงเสื้อผ้าเสียดสี
“มาเถิด ข้าต้องการเจ้า...”
บนเก้าอี้ตัวยาวหลังโต๊ะภายในห้องรับรองที่ปลอดผู้คน ชิงหลินพยายามเบี่ยงกายหลบเลี่ยงฝ่ามือร้อนผ่าวที่แสนซุกซน ปลายลิ้นร้อนลวกที่แสนเอาแต่ใจ นางรีบถอยอย่างลนลาน
ฝ่ามือหนึ่งรีบยกขึ้นมาดันแผงอกหนา อีกมือหนึ่งยังพยายามยับยั้งเรียวนิ้วของคนรักที่กำลังจะกระตุกสายคาดเอวของนางเพื่อล้วงเข้ามาหาเนินอกกลมกลึงเพื่อคลึงเล่น
หญิงสาวพยายามเอ่ยเตือนสติคู่หมั้น ด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักว่า “แต่ว่าเรายังมิทันได้แต่งงานกันนะ ท่านควรให้เกียรติข้า จนกว่าจะถึงยามส่งตัวเข้าหอ...”
สิ้นคำนั้น จางฉวนจึงหยุดชะงัก ได้สติกลับคืน
