บทที่ 2 ตอนที่1 สองพี่น้องกลางพนา1

ภูเขาเหลิ่งซานกว้างใหญ่ไพศาลหนาวเหน็บตลอดปี

ยิ่งเหมันต์มาเยือน หิมะยิ่งตกหนักจนเย็นเยียบถึงกระดูก อากาศจะดีขึ้นมากเมื่อเข้าฤดูคิมหันต์ แต่สายลมราตรีที่พัดโชยจากยอดเขายังคงหนาวเย็นเสียดแทงข้างแก้มจนแห้งตึงอยู่ดี

ทางเดินบ้างลาดชัน บ้างขรุขระ บ้างราบเรียบ บ้างรกทึบ แต่ทุกที่ยามนี้กลับเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนเหมือนกัน

เหมือนจนแยกไม่ออกว่าทางใดมีลักษณะพื้นดินเช่นใด ทุกทิศยามนี้เหมือนกันไปหมด หากจะเดินทางจำต้องใช้ความชำนาญอย่างยิ่งยวด มิเช่นนั้นย่อมหลงทางโดยง่าย

ท่ามกลางป่าในหุบเขาที่มีสัตว์นานาชนิดพากันส่งเสียงตามสัญชาตญาณบ่งบอกเวลาหาอาหาร ตามรายทางในหุบเขาพลันปรากฏรอยเท้าเล็กๆ เหยียบลงบนผืนหิมะสีขาวที่ปกคลุมยอดหญ้า ฝากรอยน่ารักๆ สองคู่เอาไว้ตลอดทาง แยกไม่ออกว่ารอยเท้าใคร รู้เพียงว่าเด็กหญิงสองคนกำลังเดินหาอาหารตามสัญชาตญาณเช่นกัน

แม่นางน้อยทั้งสองปีนี้อายุเก้าปีเท่ากัน รูปร่างเล็กบาง ผิวขาวราวหิมะ มีใบหน้าจิ้มลิ้มละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างมาก

…มากเสียจนแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร

แม้คนจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันและถนนหนทางจะขาวโพลนเหมือนกัน ทว่ามีเพียงพวกนางเท่านั้นที่แยกแยะได้ดี ว่าใครเป็นใคร และทางใดเป็นทางใด

เด็กหญิงทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดที่กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเพียงทารกวัยแบเบาะ

ยามที่สองเด็กน้อยไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองอยู่ในห่อผ้าเปื้อนเลือดภายใต้ซากศพท่ามกลางเถ้าถ่านที่เหลือจากการถูกไฟลุกท่วมหมู่บ้านเมื่อครั้งเกิดสงครามชายแดนเผาผลาญผู้คนจนวอดวาย กลับได้รับเมตตาหรือชะตากรรมมิอาจทราบจากสวรรค์ ให้ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยชายเร่ร่อนผู้หนึ่งนามว่า หานไต้

เด็กหญิงคนพี่มีนามว่า ซือเร่อ

เด็กหญิงคนน้องมีนามว่า เฟิงลี่

เดิมทีชายผู้เก็บสองพี่น้องมาเลี้ยงดูก็ไม่รู้เช่นกันว่าใครพี่ใครน้อง เพราะว่าเขามิได้เจอยามพวกนางกำลังคลอดจึงยากจะแยกแยะหรือรับรู้ว่าใครเกิดก่อนและใครเกิดหลัง แต่คาดว่าคงเกิดห่างกันไม่นานแน่นอน

เช่นนี้...เขาจึงเอาเด็กสองคนที่ยามนั้นนอนดิ้นขลุกขลักไม่รู้เรื่องราวในห่อผ้าวางเรียงกันแล้วนำท่อนไม้เล็กๆ มาตั้งชันบนพื้นดิน ปล่อยมือจากไม้ท่อนนั้นเห็นปลายไม้ชี้ไปทางเด็กคนใด คนนั้นจึงเป็นพี่สาว

หานไต้ใช้วิธีสุ่มเอาแบบง่ายดาย

มันก็เหมือนการเลือกเดินทางพเนจรไปทั่วดินแดนอย่างไร้จุดหมายของเขาก็สุ่มเอาเฉกเช่นเดียวกันและเมื่อเจอเด็กหญิงถึงสองคนเขายังเลือกสถานที่พำนักด้วยการเสี่ยงทายด้วยท่อนไม้

จอมยุทธ์มักไร้หลักแหล่งยากพบเจอและล่วงรู้ตัวตน ทว่าจอมยุทธ์บางคนเมื่อต้องปักหลักเพื่อเลี้ยงทารกถึงสองคน เขาจำต้องกลายร่างเป็นเพียงตาเฒ่าไร้แขนขาผู้หนึ่งแล้ว

หานไต้เลิกร่อนเร่พเนจร เลือกปักหลักที่หุบเขาเหลิ่งซาน ซึ่งมีปราการปกป้องจากธรรมชาติรอบด้าน

ห่างออกไปไม่ไกลยังมีหมู่บ้านที่ค่อนข้างเจริญมิได้ทุรกันดาร ไม่ใกล้ชายแดน ไม่เคยเกิดสงคราม ถัดจากหมู่บ้านนั้นยังเป็นเมืองเจริญหลายเมืองที่เชื่อมต่อกับเมืองหลวง

เรียกได้ว่าทำเลดีและปลอดภัย ห่างไกลจากเมืองหลวงแต่ก็ไม่ห่างหายจากความเจริญจนเกินไป

ไม้ท่อนนี้ที่เขาเลือกเสี่ยงทายช่างคล้ายสวรรค์มีตายิ่ง

ส่วนนามของพวกนาง หานไต้ก็ตั้งให้จากการสังเกตอุปนิสัยใจคอยามหิวโหย

คนหนึ่งใจร้อนกราดเกรี้ยว ส่วนอีกคนใจร้อนออดอ้อน

เฟิงลี่ใจร้อนกราดเกรี้ยวทรงอำนาจราวพายุแรงลมสมชื่อ ส่วนซือเร่อใจร้อนออดอ้อนเฉลียวฉลาดคล้ายอากาศร้อนชื้นในเดือนแสนแห้งแล้ง สรุปก็คือใจร้อนแล้วก็เอาแต่ร้องไห้เหมือนกัน

ยามหิวไม่ได้กินดั่งใจ เฟิงลี่จะคลานเข้ามาคว่ำชามข้าว แสดงถึงอำนาจที่ต้องการป่าวประกาศว่าตนหิวแล้ว

ซือเร่อจะใช้มือโกยกินกันเองโดยไม่รอให้หานไต้ป้อน ทว่าสายตาออดอ้อนของนางก็ทำให้เขาโกรธไม่ลงเลยสักครา

ทว่าแท้ที่จริงแล้ว เหตุที่เฟิงลี่แสดงอำนาจคว่ำชามข้าวอย่างเกรี้ยวกราดนั้นก็เพื่อให้พี่สาวของตนได้กินนั่นเอง

หานไต้มิได้ล่วงรู้จิตใจลึกซึ้งของเด็กน้อย เขาเห็นเพียงแค่เฟิงลี่ผู้น้องช่างเก่งกาจ ชามข้าวอยู่สูงบนชั้นไม้ยังปีนขึ้นไปจนได้

กระนั้นด้วยความเหมือนกันทุกสิ่งกระทั่งนิสัยจึงทำให้เขายากจะแยกแยะพวกนาง จำต้องสลักชื่อลงบนไม้กฤษณาห้อยคอไว้ ยังไม่ลืมปักชื่อลงบนผ้าให้แต่ละคนยามห่อหุ้มเรือนกาย

เรียกได้ว่าหานไต้ผู้นี้เป็นทั้งบิดาและมารดาเลยทีเดียว

ทว่าเพราะเคยชินการจับกระบี่ ฝึกกล้ามเนื้อเพื่อต่อสู้           ฝีเข็มจึงบิดเบี้ยวย่ำแย่นัก ผ้าของเฟิงลี่จึงปักอักษร ‘เฟิงลี่’ หากแต่ผ้าของซือเร่อกลับปักได้แค่อักษร ‘เร่อ’ คำเดียว ผลที่ได้คือผ้าทั้งสองกลับอ่านยาก แยกไม่ออก เหมือนใบหน้าเจ้าของเลย

บทก่อนหน้า
บทถัดไป