บทที่ 9 ตอนที่ 6 หมายตา 2
ซือเร่อใช้เวลาแต่งกายงดงามเกือบครึ่งชั่วยาม
เมื่อพึงพอใจกับความงามของตนแล้วจึงได้เดินกรีดกรายออกมาถึงศาลากลางลานหน้าเรือนโดยมีสาวใช้นามจื่อซิ่วช่วยจับประคอง
ในศาลา นางมองเห็นชินอ๋องกับชายหนุ่มรูปงามอีกคน
เขาหล่อเหลาจริงดั่งคำสาวใช้ รูปร่างสง่างามสูงใหญ่ ใบหน้าหมดจดคมคาย จมูกโด่ง ปากแดง คิ้วเข้ม
รูปโฉมโดดเด่นแต่น่าเกรงขามยิ่ง
แม้ว่าจะสวมเพียงชุดสีม่วงเรียบๆ ธรรมดา ทว่ากลับมองเห็นถึงสง่าราศีเทียมฟ้า เป็นบุรุษสูงศักดิ์นับแต่เกิด กลิ่นอายเป็นเลิศเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ขนาดนั่งนิ่งๆ ยังดูสูงส่งปานนั้น เขามองดูคล้ายองค์ราชันของทวยเทพที่จำแลงลงมาเยือนมนุษย์
ซือเร่อเหม่อมองเจิ้งเซียวเล่อเนิ่นนานจนเผลอไผลเดินด้วยปลายเท้าหนักเกินไป เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นตรงพื้นหินตรงทางเดิน กระทั่งชินอ๋องเหลือบตาขึ้นเห็นจึงส่งเสียงเรียกนางอย่างอารมณ์ดี “หยี่ซิน เจ้ามาแล้วหรือ? มานั่งนี่มา...”
เด็กสาวก้มหน้าหลุบตากล่าวเสียงหวานอย่างเขินอาย “ข้าขออภัยที่ไร้มารยาท รบกวนความสำราญของพวกท่านแล้ว”
อันที่จริง สิ่งที่รบกวนบุรุษในศาลากลางลานหาใช่เสียงการลงน้ำหนักเท้ายามก้าวเดินที่ผิดพลาดไม่ หากแต่เป็นกลิ่นหอมรวยรินที่โชยมาแต่ไกลต่างหาก
ชินอ๋องเอ่ยอีกว่า “เหลวใหล ใครว่ารบกวน พ่อบุญธรรมกำลังจะให้คนไปเรียกเจ้าอยู่เชียว”
เขาเอื้อมมือตบที่นั่งด้านข้างตัวเองเบาๆ “มานั่งนี่...”
ซือเร่อย่อกายรับคำอย่างนอบน้อมประสานเรียวนิ้วอยู่ใต้แขนเสื้ออย่างเรียบร้อย ก่อนยืดตัวขึ้นแล้วเดินเข้าไปนั่งในศาลาด้วยกิริยานุ่มนวล
หลายปีที่อยู่วังฝูอ๋อง นางได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมมารยาทและศาสตร์สตรีชั้นสูงทุกแขนงจนแตกฉาน จริตพื้นฐานจึงไม่ต่างจากองค์หญิงแม้แต่น้อย
เมื่อนั่งลงแล้วจึงค่อยๆ เงยหน้าช้อนตามองบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่ตรงข้าม ภายใต้กิริยาสูงส่งท่าทางเรียบร้อย ดวงตาของนางแวววาวราวกับมีน้ำผึ้งหยาดหยด พวงแก้มของนางแดงก่ำประหนึ่งจะคั้นน้ำสีแดงออกมาได้ ท่าทางของนางเอียงอายอย่างอ่อนโยนแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมเหลือเกิน
แต่กระนั้น เจิ้งเซียวเล่อเพียงมองนิ่งๆ ยกยิ้มบางๆ
สตรีชั้นสูงในวังหลวง คุณหนูตระกูลใหญ่ทั้งหลาย รวมถึงสตรีทั่วไป มีใครบ้างที่ไม่มองเขาด้วยท่าทีเช่นนี้...
อย่างไรก็ตาม บุรุษสูงศักดิ์ผู้หนึ่งซึ่งฐานะสูงส่งของเขาทำให้เคยพบเห็นสตรีงดงามมามากมาย ย่อมไม่แปลกใจหรือตื่นเต้นอันใดกับคนงามตรงหน้า ยามนี้เขาจึงรู้สึกเฉยชายิ่ง
ทว่าคนตรงหน้าคือแม่นางคนสำคัญที่เสด็จลุงฝากฝัง เขาจึงไร้ความคิดที่จะลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกไปอย่างถือตัว เหมือนที่ชอบทำกับสตรีทุกคน
สำหรับเจิ้งเซียวเล่อ หากเขาไม่ยินดี คำว่า ‘ไม่’ คำเดียวย่อมเอาอยู่ในทุกสถานการณ์ ไม่มีใครกล้างัดข้อกับเขาทั้งนั้น
ทว่าแม้เขาจะมิใคร่ใส่ใจใครหน้าไหน มีนิสัยชั่วร้ายแฝงอยู่ในความหยิ่งทะนงเต็มเปี่ยม เป็นคนยโสโอหัง ไม่เห็นหัวใครและบ้าการเอาชนะ แต่กลับเป็นบุรุษที่มีความรับผิดชอบสูงยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องกตัญญูเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือคำนึงถึงเป็นอันดับหนึ่ง
ดวงตาคู่คมเรียวยาวพราวเสน่ห์จึงมองสตรีนางน้อยนิ่งๆ แม้ปราศจากความรู้สึกพึงใจใดๆ แต่ก็ไม่มีความเย่อหยิ่งให้เห็น
ยามนี้เจิ้งเทียนฉีเป็นชายชราที่มีสีหน้าเปี่ยมสุขกว่าใคร คนหนึ่งคือบุตรสาวบุญธรรม ส่วนอีกคนคือหลานชายสุดที่รัก หากทั้งสองได้แต่งงานกันย่อมรักใคร่มีใจต่อกันในสักวัน
หากเป็นเช่นนั้นเขาคงนอนตายตาหลับแล้ว...
บุคคลสูงศักดิ์ในศาลาใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายสนทนากันด้วยสุ้มเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมมิตรไมตรี ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงของบุรุษที่คุยเรื่องตำรา ดินฟ้าอากาศและเรื่องทั่วไปตามวิสัย
สตรีหนึ่งเดียวเพียงก้มหน้าหลุบตานั่งฟังอย่างสำรวม มองคล้ายเป็นเพียงตุ๊กตาประดับศาลา มิได้อยู่ในสายตาของบุรุษหนุ่มแต่อย่างใด นานครั้งจึงได้รับคำถามสั้นๆ ง่าย ๆ ว่าถูกต้องไหม?เห็นด้วยหรือไม่?จากชินอ๋อง
นางแค่เพียงคอยตอบว่า ‘เพคะ’ แล้วยิ้มหวานเท่านั้น
ยามค่ำมาเยือน แสงโคมถูกจุดให้ความสว่างแทนแสงตะวัน
หลังจากซือเร่อร์รับมื้อเย็นด้วยอาหารรสเลิศเรียบร้อย นางก็กึ่งนั่งกึ่งนอนพริ้มตาหลับอยู่บนตั่งยาวริมหน้าต่าง ปล่อยให้จื่อซิ่วนวดเรียวขาอย่างเบามือ
เพราะช่วงบ่ายที่ผ่านมานางต้องนั่งประสานเรียวนิ้วอย่างสำรวมถูกระเบียบในท่าเดิมเนิ่นนาน จึงรู้สึกเมื่อยขบอยู่บ้าง
ระหว่างผ่อนคลายหลังมื้ออาหาร ในใจยังประหวัดไปถึงใบหน้าหล่อเหลาคมคายขององค์ชายผู้นั้นตลอดเวลา
จื่อซิ่วค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองนายสาวของตนพลางกล่าว “ท่านหญิง บ่าวขอกล่าวสักประโยคได้หรือไม่?”
ซือเร่อปรายตามองสาวใช้คนสนิทนิ่งๆ เป็นเชิงอนุญาต
เพราะตั้งแต่เข้ามาอาศัยอยู่วังฝูอ๋อง นางก็ได้จื่อซิ่วคอยดูแลทุกสิ่ง ตั้งแต่อาหารการกินกระทั่งเรื่องราวทั้งหลาย ไม่ต่างจากพี่สาวแสนดีผู้หนึ่ง นางย่อมรับฟังอยู่แล้ว
