บทที่ 5 ทำไมถึงยังชอบฉันอีก

“ตอนมาก็มีกระเป๋าใบเดียว ตอนออกไป ก็คงกระเป๋าใบเดียว แถมยังใบเดิมอีกต่างหาก แต่ยังดีหน่อย ที่มีใบปริญญาออกไปด้วย ไม่อย่างนั้น คงลำบากแย่ หวังว่าเราจะได้งานทำในเร็วๆนี้นะ”

อาราดาปิดเปลือกตาลง เก็บซ่อนดวงตาช้ำๆไว้ภายใน อึดใจเดียวที่นิ่งเหมือนคนตาย แล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม หัวใจของเธอเจ็บปวดเหมือนโดนเข็มสักพันเล่มทิ่มตำ เมื่อคิดว่า เธอจะไม่มีวันได้เจอหน้าเขาอีกแล้ว

หากเมื่อหลับลงเพราะความอ่อนเพลียของร่างกายและความอ่อนแอของหัวใจ เธอถูกปลุกขึ้นอีกครั้งในตอนตีสี่ของวันใหม่ เสียงเคาะประตูแผ่วเบาเกินกว่าจะมั่นใจว่านั่นเป็นความฝันหรือเรื่องจริง

ไอ…เธอได้ยินเสียงเรียกนั้นผะแผ่ว แต่หนักแน่น...ไอ...และเพราะทุกอย่างมันเงียบกริบจนทำให้เธอได้ยินแม้แต่เสียงเต้นของหัวใจตนเอง หญิงสาวประหลาดใจปนตระหนก เป็นไปได้อย่างไรที่ใครคนนั้นจะมาเรียกเธอในเวลานี้

เมื่อเธอมั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป เธอลุกขึ้นนั่ง ปรับสายตากับแสงของโคมไฟ ก่อนเหลือบไปแลนาฬิกาปลุกเรือนเล็กใกล้หัวนอน

“ตี 4 แล้วนี่ มีอะไรรึเปล่า”

เธอตัดสินใจลุกจากที่นอน เดินไปดึงกลอน เปิดประตู

“คุณเล็ก”

ชายหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าเรียบเฉย เย็นชา อวดความเจ้าเล่ห์นิด ๆ ที่มุมปาก เขาใช้สายตานิ่ง ๆ มองเธอตรง ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเธอแบบนี้ เพราะเขาไม่เคยชายตาแลเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยเลย

“มีอะไรรึเปล่าคะ”

เขากระดกคิ้ว เป่าลมออกจากปากเบาๆ จนเธอได้กลิ่นไวน์อ่อนๆ

“ฉันมีอะไรจะถามเธอหน่อย”

หัวใจของหญิงสาวเต้นตึกตักๆ

“มีอะไรหรือคะ”

“เธอจะอยู่บ้านฉันไปจนวันตายรึเปล่า”

คนถูกถามหน้าซีดเผือด ใจที่เต้นกลับหยุดเต้นเสียอย่างนั้น

“เปล่าค่ะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ตายของไอแน่นอน”

เขาหัวเราะหึ ๆ ในคอ สีหน้าแววตาเคร่งเครียดมากกว่าจะหยามเหยียดอย่างที่เคยชินตา เธอไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทางแบบนี้มาก่อนเลย มันทำให้เธอรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วทำไมยังอยู่ เธอรออะไรอยู่เหรอ”

อาราดากลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ เขาจะมาซักถามอะไรเธอตอนนี้ นี่มันใช่เวลาที่จะมาไล่เธอออกจากบ้านไปอย่างนั้นหรือ

“ไอกำลังจะไปค่ะ คุณเล็กไม่ต้องห่วง ไอไม่ได้อยากจะอยู่ในบ้านที่เจ้าของเขาชิงชังรังเกียจนานนักหรอกนะคะ ไอไม่ใช่คนหน้าด้านไร้ความรู้สึก”

“แต่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”

หญิงสาวหน้างัน คราวนี้ใจเต้นรัวขึ้นมาทีเดียว

“คุณเล็ก”

“เธอชอบฉันใช่ไหม เธอมันไม่มีสมองคิดเลย กับฉันนี่นะ เธอไม่คิดว่ามันสูงเกินไปเหรอที่จะมาคิดอะไรแบบนั้น เธอนี่มันทั้งโง่ทั้งน่าขยะแขยง ผู้หญิงอย่างเธอนี่มันไม่รู้จักเจียมเอาเสียเลย”

อาราดากัดฟันกรอด ข่มความรู้สึกเสียใจเอาไว้ให้ลึกที่สุด แม้มิอาจทานทนต่อแววตาของเขาที่มองมาอย่างหยามเยาะได้

“คุณเล็กมีอะไรจะพูดอีกไหมคะ”

ดวงตาของเขากระตุก

“เธอรู้ไหม ว่าฉันไม่มีวันชอบเธอได้”

“รู้ค่ะ”

“และคนที่ฉันจะแต่งงานด้วย ก็ไม่มีวันใช่เธอเด็ดขาด”

อาราดายิ้มบางๆ

“ทราบค่ะ”

เขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป แต่มันดูลึกเร้นจนจับไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เพียงแต่ทำให้เธอรู้สึกขนลุกชูชันไปทั้งร่าง

“แล้วทำไมถึงยังชอบฉันอีก”

“เพราะ…”เธอตอบไม่ได้ว่ามันเพราะอะไร “เพราะว่า...”

“มันอาจจะเป็นความโชคร้ายของเธอ อาราดา” เขานิ่งไปอีก ดวงตาคมคู่นั้นยากหยั่งถึงความรู้สึกข้างใน ผู้ชายคนนี้เปิดเผยด้านร้ายให้เธอเห็นมาตลอด ซึ่งถ้าเขาทำท่าทางแบบนั้น เธอคงจะสบายใจกว่านี้  “เธอมันดันมาเป็นหลานสาวของคนที่ฉันเกลียด คนที่ทำให้แม่ของฉันต้องเป็นทุกข์ ฉันเองไม่สมควรจะดีกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว และไม่น่าจะต้องมาอยู่ในชายคาเดียวกันด้วยซ้ำ จริงไหม แต่เธอก็โง่เง่าเสียเหลือเกิน ยังอุตส่าห์มาแอบชอบฉันอีก สมองของเธอทำด้วยอะไรหรือ รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้”

“ค่ะ ไอรู้ คุณเล็กไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น คุณเล็กกลับไปอยู่ในที่ของคุณเล็กเถอะค่ะ ไอเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ ไอรู้จักโลกนี้ดี โลกแห่งความเป็นจริงที่ไออยู่ มันไม่เคยมีคุณเล็กอยู่ด้วย คุณเล็กจะอยู่แค่ในโลกของความฝันของไอเท่านั้น”...หยุด...เหมือนทุกสิ่งรอบตัวมันหยุดค้าง... “และวันนี้ ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่โลกแห่งความฝันของไอจะมีคุณเล็กอยู่”

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก กระดกคิ้วอย่างท้าทาย สีหน้าเยาะหยัน

“หมายความว่าหลังจากวันนี้ไป เธอจะไม่ชอบฉันอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ”

“ค่ะ และวันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันด้วย”

คำตอบของหญิงสาวสาปให้ตัวเขาแข็งเป็นหิน

“วันสุดท้าย”

“ใช่ค่ะ ก็น่าจะเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของคุณเล็กด้วย ยังไงก็ตาม ไอคงไม่ได้อยู่ที่นี่จนถึงวันที่ต้องส่งคุณเล็กไปเมืองนอก ไอขออวยพรล่วงหน้าให้คุณเล็กโชคดีนะคะ”

เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ลาก่อนนะคะ”

ประตูปิดสนิท แบ่งกั้นสองชนชั้นเอาไว้ให้เหมือนอยู่กันคนละโลก อาราดานั่งลงตรงนั้น หลังพิงประตูไว้ หลายอึดใจที่เธออยู่กับความเงียบ ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแทรกอยู่ในความสงัดของราตรีอันมืดมิด ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูแทบจะหยุดหายใจไปเลย เขาเองก็รู้สึกเหมือนกับว่าโลกใบนี้มันกำลังจะพังทลายลงตรงหน้าไม่ต่างกัน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป