บทที่ 8 หล่อจัง
โครม!!!
“บ้าอะไรเนี่ย!!” จีน่าแผดเสียงอย่างหัวเสียอยู่ในรถ เธอกำลังรีบไปให้ทันพรีเซนต์งานสำคัญ แต่กลับถูกรถวีไอพีคันใหญ่ชนท้ายเข้าอย่างจัง จนหัวของเธอไปกระแทกกับพวงมาลัย
หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงจากรถมาอย่างหัวเสีย เดินย่ำบนรองเท้าส้นสูงไปหาเจ้าของรถวีไอพีคันใหญ่ พร้อมกับเท้าสะเอวสีหน้าเอาเรื่องไปหยุดอยู่หน้ากระจกประตูฝั่งคนขับ “คุณชนรถของคนอื่น ไม่คิดจะลงมาดูเหรอคะ?”
คนขับรถใส่เครื่องแบบพนักงานขับรถสีดำ หน้าถอดสีเอ่ยขอโทษไม่หยุด “ขอโทษครับคุณผู้หญิง ขอโทษจริง ๆ ผมไม่ทันระวัง”
จีน่ากลอกตามองบนอย่างหัวเสีย เธอโมโหจนควันออกหู ก่อนจะยกมือชี้ไปที่รถของตน “คุณรู้ไหมว่าฉันรีบ ถ้าฉันไปพรีเซนต์งานเจ้านายไม่ทัน คุณจะรับผิดชอบยังไง เรียกประกันหรือยังคะ?”
คนขับลนลานพยักหน้าถี่มือไม้สั่นกดโทรออกหาเจ้าหน้าที่ประกัน “อะไรนะครับกว่าจะมาถึงอีกหนึ่งชั่วโมง ไวกว่านี้ได้ไหมครับ เจ้านายผมต้องไปประชุม อะไรนะครับ ไม่ได้เหรอครับ” คนขับคุยกับประกันก็ยิ่งลนลานขึ้นเรื่อย ๆ
จีน่าเหมือนจะจับใจความได้ว่าอีกเป็นชั่วโมงกว่าประกันจะมา เธอยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา หากเธอไม่ทันเวลาประชุม เธอโดนหัวหน้ากินหัวอีกแน่ เพราะวันนี้ประธานใหญ่บินกลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาประชุมด้วยตัวเอง
“อีกหนึ่งชั่วโมงฉันรอไม่ได้จริง ๆ นะคะ” เธอเอ่ยอย่างหัวเสีย เห็นว่าคุยกันไม่รู้เรื่องสักที จึงคว้าโทรศัพท์ของคนขับรถที่กำลังต่อรองกับเจ้าหน้าที่บริษัทประกันมาคุยเอง “คุณมีหน้าที่มาบริการลูกค้า ตามหน้าที่ของคุณให้เร็วที่สุด ตอนเข้าไปทำงานไม่ได้ผ่านการอบรมมาเหรอคะ หรือไม่ค่อยมีงานให้ทำจนสบายเป็นนิสัย ปีๆ นึงพวกฉันจ่ายค่าประกันให้บริษัทของพวกคุณไม่ใช่น้อย เพื่อมารอคุณสะดวกจะมาเคลียร์หรือไงกัน ฉันคิดว่าหนึ่งชั่วโมงมันช้าไปสำหรับคนใช้บริการอย่างพวกฉัน ถ้าอีกสิบนาทียังไม่มีเจ้าหน้าที่บริษัทคุณโผล่มาฉันจะฟ้องให้ล้มละลายไปเลย” หญิงสาวพูดกับปลายสายด้วยความโมโหก่อนจะยื่นโทรศัพท์กลับไปให้คนขับรถ
พนักงานขับรถกลืนน้ำลายลงคอ ก้มหน้ารับโทรศัพท์มาแต่โดยดีไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าจะโดนลูกหลงอารมณ์เธอไปด้วย
เสียงประตูอัตโนมัติค่อย ๆ เปิด รองเท้าหนังเงาสีดำก้าวลงมาจากรถ ชายหนุ่มร่างสูงมาดนักธุรกิจในชุดสูทสีกรม ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยแว่นตากรอบทอง แต่ไม่สามารถบดบังความหล่อที่ถ่ายทอดอยู่บนร่างกายทุกส่วนของเขาได้ “ต้องขอโทษคุณแทนลูกน้องผมด้วยครับ” น้ำเสียงนิ่งขรึมเอ่ยออกมา ขณะที่หญิงสาวยังคงเงยหน้าขึ้นมองนิ่งค้างตะลึงในความหล่อของคนตรงหน้า
เธอเผลอกลืนน้ำลายลงคอคิดในใจ ‘หล่อจัง หล่อจนโกรธไม่ลง’ ก่อนจะดึงสติที่หลุดลอยกลับมาทัน “ฮะ!! เอ่อ...ฉันไม่ได้อยากจะโทษลูกน้องคุณหรอกค่ะ แต่วันนี้ฉันมีงานด่วนที่จะต้องรีบไป ก็เลยโมโห ยังไงก็ขอโทษที่ทำกิริยาไม่เหมาะสมเมื่อครู่ด้วยนะคะ ลูกน้องคุณไม่เป็นไรมากใช่ไหม?” เธอเอ่ยถาม ก่อนจะหันไปหาคนขับรถ ที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างประตูรถ “พี่เป็นอะไรมากไหมคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
คนขับรถรีบส่ายหัวตอบ “ไม่ครับ..ขอโทษอีกครั้งครับ”
“แล้วคุณเป็นอะไรมากไหมครับ” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพอีกประโยค สายตาของเขามองไปที่รอยแดงบนหน้าผากของเธอ “หน้าผากของคุณกระแทกเหรอครับ ไปโรงพยาบาลตรวจดูหน่อยไหม ผมยินดีรับผิดชอบ”
จีน่ายกมือจับไปที่หน้าผากของเธอ ที่จริงมันยังเจ็บอยู่บ้าง แต่เธอไม่มีเวลาอ่อนแอไปโรงพยาบาลตอนนี้ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาอีกครั้ง “ฉันต้องรีบไปจริง ๆ เอาไงดีคะ?”
ชายหนุ่มล้วงในเสื้อสูทหยิบตลับนามบัตรออกมา และเปิดกระเป๋าเงินหยิบแบงก์พันห้าใบที่อยู่ช่องในสุดออกมายื่นให้เธอ “ผมก็รีบเหมือนกัน คุณเอารถเข้าศูนย์ได้เลยครับ ค่าใช้จ่ายผมรับผิดชอบเอง”
จีน่ามองกระดาษแผ่นเล็ก และเงินสดที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ถึงเขาจะหล่อและตรงสเปกเธอมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาชื่นชมความหล่อ เธอยื่นมือไปรับนามบัตร และยื่นเงินสดคืนเขา “เงินฉันไม่รับหรอกค่ะ”
ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ยอมรับเงินคืนเช่นกัน “เอาไปเถอะครับ มันเป็นของคุณ”
ถึงจะแอบแปลกใจในคำพูดของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีเวลาแล้ว ในเมื่อไม่รับคืน เธอก็เก็บทุกอย่างใส่กระเป๋า ไม่ทันได้ดูชื่อ หรือแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ในนามบัตรเสียด้วยซ้ำ “ขอบคุณมากเลยค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยเป็นมารยาทก่อนจะหันหลังเดินไป
“คุณครับ!!” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกหญิงสาวอีกครั้ง
จีน่าชะงักเท้าหันมาขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย “คะ?”
“คุณชื่อ?”
“จีน่าค่ะ” เธอยิ้มตอบอีกฝ่ายก่อนจะหันหลังก้าวเท้าเดินบนรองเท้าส้นสูงอย่างมั่นใจไปขึ้นรถขับออกไปทันที
ชายหนุ่มมองรถยนต์ท้ายยุบสีถลอกขับออกไปด้วยความเร็ว พลางนึกในใจ ‘จีน่า...น่าสนใจจริง ๆ’ ก่อนจะหันไปพูดกับคนขับรถสองสามประโยคแล้วเดินขึ้นรถไป
“พ่อสุดหล่อนั่นฉันเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ?” จีน่าเผลอพึมพำนึกถึง ชายหนุ่มที่เจอเมื่อครู่ เธอรู้สึกคุ้นรูปร่าง หรือแม้แต่น้ำหอมของเขา ทว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออก “ช่างมันเถอะ...ตอนนี้จะมัวบ้าผู้ชายอยู่ไม่ได้”
พอได้สติหญิงสาวก็เหยียบคันเร่งไม่ต่ำกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัท พอรถยนต์จอดสนิท เธอก็รีบโกยเอกสารและโน้ตบุ๊กวิ่งเข้าไปในบริษัททันที ในห้องประชุมตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เธอยืนปรับลมหายใจก่อนจะเป่าปากเดินเข้าไปนั่งประจำที่ สายตาพิฆาตมองมาที่เธอคล้ายอยากจะฉีกร่างเธอเป็นชิ้นๆ ทว่าจีน่ากลับทำเป็นไม่สนใจ เธอก้มหน้าก้มตาเตรียมสิ่งที่จะต้องพูด และยกมือเปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กรอพรีเซนต์
“เจ๊...ทำไมมาสาย” รุ่นน้องในทีมกระซิบถาม
“อุบัติเหตุนิดหน่อย ซวยแต่เช้า” เธอเอียงตัวไปกระซิบตอบ
“ดีนะประธานใหญ่ยังมาไม่ถึง ไม่งั้นพี่คอขาดแน่”
“พระเจ้าช่วยฉันแท้ๆ” เธอถอนหายใจยกมือลูบอกอย่างโล่งใจ
เมื่อทุกคนเห็นท่านประธานใหญ่เดินมาแต่ไกลก็พร้อมใจกันลุกขึ้น จีน่ายังไม่หายเหนื่อย ก็ต้องลุกขึ้นตามคนอื่น ๆ สายตาเธอยังหลุบมองที่เอกสารในมือ ไม่ได้สนใจมองคนที่เข้ามาใหม่ เพราะต้องเตรียมพรีเซนต์งานที่เตรียมข้อมูลมาตลอดหนึ่งเดือน
สายตาคมมองผ่านแว่นกรอบทองมาหยุดอยู่ที่หญิงสาวที่กำลังก้มหน้าอ่านเอกสารปากขมุบขมิบไม่ยอมสนใจเขา มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกมือปลดกระดุมสูทผายมือ “ทุกคนนั่งเถอะครับ”
โสตประสาทการได้ยินเสียงของจีน่าไม่ได้ปิด เธอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงคนที่พูดให้พวกเธอนั่งลง จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง แววตาเธอกระตุกเมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานบริษัท เธอทำหน้าไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่รถชน เธอเสียมารยาทไปไม่น้อยเลย หญิงสาวหดตัวพยายามทำตัวให้เล็กลง ใจจริงเธออยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียด้วยซ้ำ ‘วันนี้มันวันซวยอะไรของฉันเนี่ย’ จีน่าคิดในใจก่อนจะหันไปกระซิบรุ่นน้องในทีมที่นั่งอยู่ข้างเธอ “ท่านประธานชื่ออะไรนะ?”
รุ่นน้องผู้ชายเหลือบมองท่านประธานก่อนจะโน้มมากระซิบตอบ “ภูริช”
จีน่าหัวเราะอยู่ในใจ ‘คนก็หล่อ ชื่อก็เพราะ ขอให้ใจดีด้วยเถอะ”
“เจ๊เป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
จีน่ากัดฟันกระซิบตอบ “ฝากนายขุดหลุมฝังฉันด้วย”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานปรายตามองผู้หญิง และผู้ชายที่กำลังกระซิบกระซาบคุยกันอยู่
กึกๆ เสียงเคาะปากกาดังมาจากหัวโต๊ะ “เริ่มได้เลยครับ” เสียงขรึมขึ้นหนึ่งระดับเอ่ยออกมา
ทั้งคู่ที่กำลังแอบกระซิบกระซาบกันอยู่ถึงกับหยุดชะงัก กลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่เมื่อได้ยินเสียงเย็น
หญิงสาวเรียกความมั่นใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาพรีเซนต์งานที่เตรียมมาอย่างดี เธอสามารถตอบความสงสัยของคนในที่ประชุมได้อย่างมั่นใจ จนแทบไม่มีที่ติ ประธานหนุ่มเองก็ถามเฉพาะหัวข้อที่สงสัย แต่พอได้ยินคำอธิบายก็เข้าใจในสิ่งที่คนพรีเซนต์กำลังจะสื่อ เวลาล่วงเลยไปจนจีน่าพรีเซนต์งานจบ เธอก้มศีรษะเล็กน้อย เอ่ยขอบคุณทุกคนที่อยู่ในห้องประชุม ก่อนจะเดินกลับมานั่ง
“แนวคิดของทีมโฆษณาวันนี้ผมพอใจมาก แต่อยากให้แก้ไขเล็กน้อย ยังไงช่วยส่งข้อมูลมาให้ผมที่เลขาอีกครั้ง แล้วผมจะดูว่าจะให้แก้ไขตรงไหน ถ้าเรียบร้อยค่อยประชุมกันอีกรอบ ไม่มีอะไรแล้วทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานได้ครับ” ภูริชเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไปคนแรก และทุกคนในที่ประชุมก็เดินตามออกไป
เหลือเพียงแค่จีน่าและรุ่นน้องคนสนิทที่ยังนั่งอยู่ เมื่อมองเห็นว่าทุกคนออกไปจนหมด จีน่าก็ทิ้งตัวพิงเก้าอี้สำนักงานอย่างโล่งใจ “ฉันคิดว่าเขาจะบี้ฉันตายคามืออยู่ตรงนี้ซะแล้ว”
“เจ๊...ผมก็นั่งเกร็งแทบไม่กล้าหายใจ ท่านประธานดูเหมือนจะนิ่ง สุขุมคล้ายจะใจเย็น แต่ก็เหมือนจะมีรังสีอะไรบางอย่างที่น่าขนลุกอยู่นะเจ๊” หนุ่มรุ่นน้องเอ่ย ขณะที่มือยังลูบแขนทั้งสองข้างทำท่าทางขนลุกไม่หาย
จีน่าเก็บเอกสารและโน้ตบุ๊กเดินกลับมาถึงโต๊ะทำงานยังไม่ทันได้วางของลง หัวหน้าก็เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยใบหน้าบึ้งตึง เธอเข้าใจสถานการณ์ดีว่าวินาทีต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
“เธอคิดว่าเธอเล่นขายของอยู่หรือไง” หัวหน้าเดินมาเอ็ดเธอเสียงดังจนคนในทีมหันมามองเป็นตาเดียว
หญิงสาวไม่ได้ตอบโต้ เธอเพียงเอาของที่ถืออยู่วางลงโต๊ะทำงาน พยายามทำใจเย็น เพราะวันนี้ตั้งแต่เช้าเธอก็เจอแต่เรื่องซวยมาทั้งวัน หมดแรงที่จะต่อปากต่อคำ
“เธอคิดว่าเธอเป็นใคร” หัวหน้ายังไม่หยุดฉุนเฉียว เห็นว่าลูกน้องทำท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนก็ยิ่งโมโห ถึงขนาดใช้เอกสารที่ถือมาฟาดลงโต๊ะอย่างแรงด้วยความโมโห ก่อนจะยกเอกสารในมือชี้มาที่หน้าของจีน่า “คิดว่าเธอเก่งนักใช่ไหม ถึงไม่ต้องมาเตรียมตัวก่อน ฉันบอกเธอว่าให้มาก่อนเวลาประชุม เธอมากี่โมงฮะ!! นี่ถ้าท่านประธานไม่ติดธุระ เธอกับฉันหัวยังจะอยู่บนบ่าอยู่ไหม”
“พี่ดาวอย่าอารมณ์เสียไปเลยค่ะ วันนี้จีน่าก็ยังได้คำชมจากท่านประธานอยู่บ้างนะคะ ถึงจะมีแก้ไขก็เถอะ จีน่าทำโปรเจกต์ใหญ่ครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร” พลอยเพื่อนร่วมงานเดินเข้ามาเอ่ยห้ามหัวหน้าทีม
“ถ้าเธอไม่พูดก็ไม่มีใครเขาว่าเป็นใบ้หรอกนะ ถ้าพูดแล้วทำให้ทุกอย่างแย่ลงก็ไม่ต้องพูด” จีน่าตวัดสายตามองไปที่เพื่อนร่วมงานที่เหมือนจะหวังดีแต่ประสงค์ร้าย
“ฉันก็แค่อยากช่วยพูดให้เธอ ทำไมต้องมองฉันในแง่ลบด้วย”
“ฉันขอเหรอ!?” จีน่าส่งสายตาไม่พอใจไปที่เพื่อนร่วมงานที่เธอแสนจะไม่ชอบหน้า ก่อนจะเบนสายตาไปมองหัวหน้าของเธอ “แล้วอีกอย่าง ถ้ามีคนที่เก่งกว่าฉัน ดีกว่าฉัน ตอนที่อีกทีมโยนโปรเจกต์นี้มา พี่ดาวไม่ให้คนเก่ง คนดี ของพี่ทำล่ะคะ จะได้ไม่มาโมโหใส่ฉันแบบนี้ อ่อ...” เธอชะงักคำพูดก่อนจะใช้สายตามองไปที่ศีรษะและไหล่ของหัวหน้า พร้อมกับฉีกยิ้มปลอมๆ เอ่ยอีกประโยค “หัวกับบ่าพี่ก็ยังอยู่ที่เดิม มันไม่ไปไหนหรอกค่ะ” พูดจบเธอก็หันหลังเดินมาหย่อนสะโพกนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“ยัยเด็กบ้านี่!! ฉันจะทำยังไงกับคนอย่างเธอดี” เมื่อหัวหน้าทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่กัดฟันฟึดฟัดสะบัดหน้ากลับห้องทำงานของตัวเองไป
“นายครับ เชิญทางนี้ครับ”
ภูริชไม่ได้กลับมาที่ประเทศไทยนานจึงให้ผู้ช่วยพาเดินดูตามแต่ละแผนก เขาเองก็ไม่คิดว่าจะมาได้ยิน ได้เห็นอะไรเมื่อครู่ ทว่ากับอดที่จะหยุดฝีเท้าฟังจนจบไม่ได้
“แบบนี้เป็นเรื่องปกติเหรอ?”
ผู้ช่วยอมยิ้มให้กับคำถามของเจ้านาย เพราะรู้ว่าเจ้านายของตนกำลังหมายถึงเรื่องอะไร “จะว่าปกติของแผนกนี้ก็ได้ครับ เธอเป็นพนักงานที่คุณพ่อของเจ้านายฝากเข้ามา สร้างสีสันให้ทีมโฆษณาไม่น้อยเลยครับ เห็นฟาดฟันกันแบบนี้ ที่จริงหัวหน้าทีมก็เอ็นดูเธอไม่น้อยเลยนะครับ”
ภูริชนิ่งฟังแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะเดินตามผู้ช่วยไปที่แผนกอื่น ๆ ที่อยู่ในบริษัท เดินมาพักใหญ่จนครบทุกแผนก ชายหนุ่มก็ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา เวลาล่วงเลยมาบ่ายสามโมงแล้ว เขาเจอเรื่องวุ่นๆ มาตั้งแต่เช้า เผลออีกทีก็เกือบจะเย็นเสียแล้ว
“นายไปเตรียมของขวัญ และรถให้ฉันที อีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะไปเยี่ยมคุณพ่อ คุณแม่ที่บ้านใหญ่”
“ครับนาย”
เมื่อผู้ช่วยได้รับคำสั่งจากเจ้านายก็รีบไปจัดการทันที
ด้านภูริชนึกขึ้นได้ว่าเคยสั่งให้ทำสวนไว้ด้านหลังสำนักงานไว้ให้พนักงานมานั่งพักผ่อนช่วงพัก จึงเดินลงบันไดอ้อมไปดูว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เดินมาจนถึงสวน ก็ต้องขมวดคิ้วดูเหมือนจะไม่เป็นแบบที่คิดไว้สักเท่าไร เพราะต้นไม้ ดอกไม้เหมือนจะไม่มีคนดูแล คนรักต้นไม้อยากเขาจึงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยเลย เดินเข้ามาด้านในหูของชายหนุ่มก็คล้ายจะได้ยินเสียงฮัมเพลงดังมาไกล ๆ หัวคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากันอีกครั้ง พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาให้แน่ใจ เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาพักของพนักงาน แล้วใครกันที่มาฮัมเพลงอยู่ที่นี่
“หิวจะตายชัก มาม่าคัพช่วยชีวิตพี่สาวไว้แท้ๆ”
จีน่าบ่นพึมพำไปซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแก้หิวไป เธอไม่ใช่คนกินยาก ด้วยความขี้เกียจของเธอ ส่วนมากก็จะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตอนพักเที่ยงเพราะมันสะดวก และอร่อย เธอไม่ใช่สาวสายสุขภาพจึงไม่สนใจว่าที่เธอกินมันมีประโยชน์หรือไม่ จะให้ขับรถ หรือเดินออกไปกินข้าวข้างนอกเหมือนเพื่อนร่วมงานคนอื่น คนขี้เกียจอย่างจีน่าจึงเลือกกินมาม่าคัพแทนเสียดีกว่า แต่ด้วยซวยตั้งแต่เช้า แล้วก็ต้องรีบมาประชุมให้ทัน กว่าจะนึกได้ว่าลืมกินข้าวก็คงจะเป็นตอนที่ท้องเจ้ากรรมมันร้องประท้วงว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เธอจึงแอบเปิดลิ้นชักเสบียงหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสโปรด เดินหลบมาทางบันไดหนีไฟ แล้วลงลิฟต์อ้อมมาในสวนหลังสำนักงานที่เป็นฐานทัพของเธอ เพราะปกติพนักงานจะไม่ค่อยสนใจเดินมาที่นี่อยู่แล้ว
ด้านภูริชเห็นหญิงสาวนั่งซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปากก็พึมพำบ่นหัวหน้า อีกเดี๋ยวก็ฮัมเพลงอย่างสบายใจ ชายหนุ่มยืนอยู่ไม่ใกล้แล้วก็ไม่ไกลจากตรงที่เธออยู่จึงได้ยิน และเห็นการกระทำทั้งหมดของหญิงสาว เขาเพียงยืนมองนิ่งๆ มุมปากเผลอยกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะหันหลังเดินจากไป



















































