บทที่ 9 ฆ่าปลวกด้วยมือเปล่า...

เข็มนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน ขณะนี้เวลาห้าโมงเย็น พนักงานต่างพากันลุกออกจากโต๊ะทำงานเพื่อเดินทางกลับบ้าน ต่างจากจีน่า ที่ตอนนี้ยังคงนั่งใจเย็นหยิบลิปสติกสีโปรดในกระเป๋าขึ้นมาทา ก่อนจะเช็กความเรียบร้อยของเครื่องสำอางบนใบหน้า เธอไม่ชอบความวุ่นวาย และไม่ชอบบรรยากาศเบียดเสียดภายในลิฟต์ จึงรอให้พนักงานส่วนใหญ่กลับไปจนหมด ตอนนี้เหลือแค่พนักงานที่อยู่ทำงานล่วงเวลาไม่กี่คนเท่านั้น

“เจ๊...ผมล่ะอิจฉาเจ๊จริง ๆ ไม่ต้องมานั่งทำโอทีหลังขดหลังแข็งเพื่อเอาเงินเพิ่ม ถ้าผมมีเงินแบบเจ๊นะ ผมไม่มาทำงานแล้ว จะนอนตีพุงอยู่บ้าน” ตาวรุ่นน้องคนสนิทบ่นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

จีน่าได้ยินที่รุ่นน้องเอ่ยก็หันไปฉีกยิ้มปลอมๆ ให้อีกฝ่าย “หึ...แกคิดว่าฉันไม่อยากทำแบบที่แกพูดเหรอตาว”

เด็กหนุ่มใช้สายตาสำรวจกระเป๋า และเครื่องแต่งกายของหญิงสาวก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “อย่างว่า...ชีวิตมันต้องขับเคลื่อนด้วยเงินอะเนอะ ว่าแต่....” ตาวชะงักคำพูด ขณะที่สีหน้าบ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะโน้มเข้าไปกระซิบถามเสียงเบา “เจ๊...ผมถามจริง ๆ เลยนะ เจ๊เป็นเด็กเสี่ยแบบที่เขาพูดกันไหมอ่ะ?”

“หึ้ม? ...แกเพิ่งรู้เหรอ?”

“เจ๊...ทีแรกผมก็ไม่เชื่อที่ยัยพวกขี้อิจฉาพูด เจ๊ทำท่าทางแบบนี้ผมเริ่มจะเชื่อแล้วนะ”

จีน่ายกยิ้ม ก่อนจะหรี่ตาโน้มตัวไปใกล้รุ่นน้อง “แกไม่รู้อะไร...ตาแก่ที่บ้านฉันสายเปย์หนักมากเลยนะ อย่าลืมเอาไปคุยให้ยัยพวกนั้นฟังล่ะ” พูดจบก็ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี

“เจ๊ก็เล่นไปเลื่อน!!!” รุ่นน้องคนสนิทตะโกนตามหลัง

จีน่าไม่ได้เอ่ยต่อปากต่อคำกับรุ่นน้องคนสนิท เธอเพียงยักไหล่แล้วเดินออกจากประตูไปรอลิฟต์

รอลิฟต์ไม่นานประตูลิฟต์ก็ค่อยๆ เปิดออก ยังไม่ทันได้ยกเท้าก้าว ก็ต้องชะงักเท้าเบิกตากว้างโดยอัตโนมัติ ‘ท่านประธาน’

สายตาคมภายใต้แว่นกรอบทองของชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในลิฟต์ก็ทอดมองมาที่เธอเช่นกัน สายตาของทั้งคู่สบเข้าหากัน ทว่าเขายังคงมีใบหน้าเรียบไม่เปลี่ยน จีน่าเองก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะก้าวเข้ามาในลิฟต์

หัวคิ้วหนาขมวดก่อนที่น้ำเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยถามขึ้น “คุณจะไปไหม?”

จีน่ากระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเรียกสติตัวเองพยักหน้ารับ “ค่ะ...ไปค่ะ” พูดจบเธอก็ก้าวเข้ามาในลิฟต์ก่อนจะยกมือกดชั้นที่ต้องการลง แล้วค่อยๆ ขยับตัวของเธอไปอยู่ด้านข้าง บรรยากาศในลิฟต์ตอนนี้เงียบจนน่าขนลุก ในลิฟต์มีแค่เธอ ภูริช และก็ผู้ช่วยของเขา จีน่าหันไปยิ้มจางๆ ทักทายผู้ช่วยหนุ่มของเจ้านาย ผู้ช่วยหนุ่มก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรกลับมาเช่นกัน แต่พอทอดสายตาไปมองเจ้านายที่ยืนหน้านิ่งอยู่ก็ต้องหุบยิ้มลง

พอลิฟต์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง เธอก็รีบแทรกตัวเดินออกจากลิฟต์ไปด้านลานจอดรถทันที โดยไม่เอ่ยลา เจ้านายที่ยังยืนค้างมองเธอเดินจากไปอยู่ตอนนี้

“เจ้านายครับ พรุ่งนี้เลขาคนใหม่จะมาทำงานนะครับ”

ภูริชก้มหน้ายกยิ้มน้อยๆ นึกถึงท่าทีของหญิงสาวเมื่อครู่ ก่อนจะตอบอืมในลำคอ แล้วเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วมองผู้ชายหนุ่ม แววตาของเขาดูจริงจังกว่าปกติ

จนผู้ช่วยหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก จึงเอ่ยถามเสียงตะกุกตะกัก “นะ...นายมีอะไรหรือเปล่าครับ”

ภูริชมองจ้องหน้าผู้ช่วยหนุ่มนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็นชวนขนลุก “เหมือนเธอจะยิ้มให้นายนะ” พูดจบเขาก็เดินไปขึ้นรถ

คอนโดเกวลิน....

“พวกเธอไม่เป็นฉันจะไปเข้าใจอะไร ฉันต้องทนทำงานวันละแปดชั่วโมวต่อวัน โดนหัวหน้าโขกสับสารพัด ฮึก...ฉันน่าสงสารขนาดไหน พวกเธอจะไปรู้อะไร”

จีน่าเบะปากระบายความน่าสงสารของตัวเองให้ เกวลิน และจินเจินฟัง เหมือนทุก ๆ ครั้งที่นัดรวมตัวกัน แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิททั้งสองจะชินกับท่าทีแสร้งทำเป็นน่าสงสารของเธอเสียแล้ว พอได้ยินคำว่า ‘โดนหัวหน้าโขกสับ’ จินเจินก็ถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมา

“ฉันเกือบจะสงสารพี่แล้วเชียว ถ้าพี่ไม่พูดว่าโดนหัวหน้าโขกสับ ฉันจะสงสารพี่กว่านี้” น้องเล็กในกลุ่มหัวเราะไม่หยุด “พี่เกลว่าไหม คนอยากเจ๊ใหญ่ของเราจะยอมให้หัวหน้าโขกสับได้ยังไง ฉันว่าหัวหน้าจะต้องโดนเถียงกับอย่างเจ็บแสบแน่” จินเจินพูดไปหัวเราะไป

“จริง” เกวลินก็อดยิ้มขำไม่ได้

“พวกแกหัวเราะอะไรกันเล่า ใครจะยอมโดนด่าฝ่ายเดียว ยังไงฉันก็น่าสงสารนะ” เมื่อเห็นเพื่อนๆ พากันหัวเราะ จีน่าก็แผดเสียงอย่างไม่ยอมออกมาอีกครั้ง พร้อมกับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“โอ๋ๆ น้องไม่หัวเราะแล้วก็ได้ พี่สาวแสนสวยของฉันน่าสงสารเสียจริง” จินเจินเดินยิ้มร่าไปกอดปลอบจีน่า

เกวลินมองดูจินเจิน และจีน่าที่ตอนนี้ดูเข้าอกเข้าใจกันเสียจริง ก็อดส่ายหัวไม่ได้ “พวกเธอนี่มัน...ฉันละปวดหัว”

จีน่ายกนาฬิกาข้อมือดูเวลา ก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นหันไปพูดกับจินเจิน “พวกเราก็ไปกันเถอะ อย่าไปอยู่เป็นก้างใครบางคนเลย”

จินเจินเข้าใจความหมายของจีน่าจึงยิ้มกว้างพยักหน้ารับ “ปล่อยให้คนมีความรักเขาสวีตกันไปเถอะ พวกเราก็กลับไปนอนเหงาๆ กันดีกว่า”

รถสปอร์ตเลี้ยวเข้ามาจอดในลานจอดรถของสำนักงานเหมือนทุกวัน วันนี้จีน่ามาทำงานเช้ากว่าปกติ เพราะมีนัดประชุมก่อนปล่อยโฆษณาเกมตัวใหม่ หญิงสาวก้าวลงจากรถมาด้วยรองเท้าส้นสูง และกระเป๋าแบรนด์เนมคอลเล็กชันใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวาน ทำให้คนที่เห็นอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน แม้แต่เพื่อนพนักงานในแผนกเดียวกันที่เดินมาเห็นเธอเดินเข้าลิฟต์ไปก็อดซุบซิบไม่ได้

“พลอยแกดูยัยนั่นสิ ฉันว่านางก็สวยนะ แต่เชิดจนไม่เห็นหัวใครเลย”

“ก็ไม่เห็นจะเท่าไร” พลอยคู่ปรับของจีน่าเบะปาก ก่อนจะเดินไปขึ้นลิฟต์เพราะจะให้หัวหน้าเห็นจีน่ามาทำงานเช้ากว่าเธอไม่ได้

จีน่าเห็นคนที่เดินเข้าลิฟต์มาคือเพื่อนร่วมแผนกที่เธอไม่ชอบหน้าจึงไม่มีท่าทีว่าจะหลบให้ เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ในลิฟต์ จนสองคนที่เข้ามาใหม่ต้องเป็นฝ่ายเดินเบี่ยงเข้าไปด้านในแทน

“เจ๊...วันนี้มาเช้าจัง”

ตาวรุ่นน้องที่มาถึงก่อนไม่นานเดินกลับมาจากชงกาแฟ เห็นจีน่านั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานจึงเอ่ยทักทายด้วยความแปลกใจ

“อืม...มีประชุม มาช้าจะโดนแหกอกเอาอีก”

ตาวมองมาที่โต๊ะทำงานเห็นว่าวันนี้ไม่มีแก้วกาแฟแบรนด์โปรดตั้งอยู่ข้างตัวของพี่สาวคนสนิทจึงเอ่ยถาม “เจ๊เอากาแฟไหม ผมไปชงให้”

“อืม...น้ำตาลสองครีมสองเหมือนเดิม”

“รับทราบครับผม”

จีน่าเตรียมโน้ตบุ๊ก และเอกสารที่ต้องพรีเซนต์เสร็จก็ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ที่จริงแล้วเธอตื่นสายกว่าที่ตั้งใจไว้จึงต้องรีบ อาบน้ำแต่งตัว แม้แต่ห้องน้ำก็ยังไม่ได้เข้าให้ดี ๆ ก็ต้องรีบโกยเอกสารขึ้นรถมาที่บริษัท

“ฉันละอยากรู้จริง ๆ ว่ายัยนั่นทำไมถึงเปลี่ยนรองเท้า กระเป๋าแบรนด์เนมไม่ซ้ำ ถ้าที่บ้านรวยขนาดนี้จะมาทำงานหลังขดหลังแข็งทำไม”

“หึ...ก็คงเป็นอีหนูของพวกมีเงินน่ะสิ คนรวยเขาจะมานั่งทำงานทำไม เป็นเธอจะโง่มาทำงานอยู่เหรอถ้าบ้านมีเงินขนาดนั้น”

“ก็จริง...หน้าตาสวย ก็คงหนีไม่พ้นเป็นอีหนูของพวกคนแก่มีเงิน”

พลอย และเพื่อนพนักงานอีกคน เข้ามาเติมเครื่องสำอางในห้องน้ำ ก็อดไม่ได้ที่จะนินทา จีน่า เพราะตั้งแต่ที่หญิงสาวมาทำงานที่บริษัท ก็เปลี่ยนรถไปสามคัน ราคาแต่ละคันก็ไม่ใช่คนทำงานแบบพวกเธอจะซื้อได้ ไหนจะเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่ตามคอลเล็กชันใหม่ของแบรนด์หรูอยู่เสมอ

จีน่าได้ยินเรื่องที่คนด้านนอกพูดถึงเธอทุกคำ เธอไม่ได้รู้สึกโกรธกับเรื่องไม่จริงที่พวกนั้นพูดกัน แต่กับรู้สึกอยากจะหัวเราะดังๆ ให้กับการมโนขั้นสุดยอดของผู้หญิงที่นินทาเธออยู่ตอนนี้ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็บิดลูกบิดประตูห้องน้ำเดินยิ้มออกมา

พอพวกผู้หญิงที่เพิ่งนินทาเธอเมื่อครู่ เห็นว่าจีน่าเพิ่งเปิดประตูออกมา ก็ถึงกับทำลิปสติกหลุดมือ หน้าถอดสีไปตามๆ กัน

จีน่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอทำเพียงเดินมาล้างมืออย่างใจเย็น ก่อนจะส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารมองผู้หญิงสองคนที่ยืนนิ่งค้างขาตายอยู่ตอนนี้ เธอก้าวเข้าไปหาคนทั้งคู่ ก่อนจะฉีกยิ้มเอ่ย “พูดถึงคนอื่นเรื่องดี ๆ บ้าง ไม่ได้สินะ ก็เข้าใจได้อยู่แหละ” เธอชะงักคำพูดใช้สายตามองผู้หญิงที่นินทาเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เอ่ยต่อ “ฉันสวยขนาดนี้ ถ้ามีใครอยากจะเลี้ยงก็คงไม่แปลก พวกเธอก็ลองสวยให้ได้แบบฉันบ้างสิ เผื่อจะมีวาสนา” เท้าของหญิงสาวก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งคู่อีกก้าว จนทั้งคู่ถอยหลังไปติดผนังห้องน้ำ “ฉันมีคลินิกดี ๆ แนะนำนะ เผื่อสนใจ” พูดจบเธอก็ฉีกยิ้มก่อนจะโน้มไปดึงกระดาษชำระมาเช็ดมืออย่างใจเย็นขณะที่สายตายังไม่ละจากคนทั้งคู่ ก่อนจะโยนกระดาษชำระลงถังขยะ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องน้ำไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เจ๊...ไปเข้าห้องน้ำออกมาต้องอารมณ์ดีเบอร์นี้เลยเหรอ อึมันยิ้มให้เจ๊อ่อ?”

“ยิ้มให้แกสิ” จีน่าตวัดสายตามองค้อนรุ่นน้องขณะที่ใบหน้ายังคงประดับยิ้ม “เมื่อกี้ฉันฆ่าปลวกตายคามือสองตัวเลยสะใจ” พูดตอบรุ่นน้องแต่สายตากับมองผู้หญิงสองคนที่เพิ่งเดินหน้าบึ้งตึงออกมาจากห้องน้ำ

ตาวถึงกลับขมวดคิ้วคล้ายจะไม่เข้าใจความหมาย “บริษัทเราใหญ่โตมีปลวกด้วยเหรอเจ๊”

“อืม...มีสองตัวฉันบี้มันตายค่ามือไปแล้ว”

ด้านห้องทำงานประธานบริษัท...

“เจ้านายกาแฟค่ะ”

หญิงสาวหุ่นดีในชุดรัดรูปสีสุภาพเดินยกกาแฟมาให้เจ้านายหนุ่มสุดหล่อตามหน้าที่ของเลขา เธอวางแก้วกาแฟลงข้างๆ ชายหนุ่มด้วยท่าทางระมัดระวังใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะค่อยๆ ช้อนตามองเจ้านายที่ยังคงนั่งทำงานอยู่

“อืม”

ภูริชไม่ได้สนใจเลขาคนใหม่ที่เอากาแฟมาให้ เขาเพียงตั้งใจอ่านแผนโฆษณาที่จะต้องประชุมอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า

เลขาสาวหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปยกของว่าง และน้ำเปล่ามาให้เพิ่ม

“เจ้านายน้ำเปล่าค่ะ” เธอยังไม่ทันเดินมาถึงก็สะดุดล้ม ทำน้ำที่ถือมาหกใส่กางเกงของชายหนุ่มจนเขาต้องลุกขึ้นยืน

“ขอโทษค่ะเจ้านายลิตาไม่ทันระวัง ขอโทษนะคะ” ภูริชมองหญิงสาวที่รีบดันตัวลุกขึ้นเอ่ยขอโทษเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจ ทว่าตอนนี้เขาถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อเห็นกระโปรงที่สั้นจนเห็นขาอ่อน และเสื้อเชิ้ตที่แสนจะรัดรูปจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนของอีกฝ่าย ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจ ทว่าใบหน้าของเขายังคงไม่แสดงอารมณ์เช่นเคย

เลขาสาวรีบดึงทิชชูเพื่อจะมาเช็ดกางเกงที่เปียกให้ผู้เป็นเจ้านาย แต่ยังไม่ทันได้ถึงตัว ชายหนุ่มก็ถอยหนีก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “คุณไม่เหมาะกับงานแบบนี้หรอกครับ หาเหตุผลดี ๆ สักข้อ ลาออกไปทำงานที่ต้องแต่งตัวสวยทุกวันจะเหมาะสมกว่า”

เลขาสาวน้ำตาคลอ “เจ้านาย...ลิตาไม่ทันระวังจริง ๆ นะคะ”

มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย “ผมไม่ชอบอะไรที่ทำให้ผมเสียสมาธิ เชิญครับ”

เลขาสาวยกมือปาดน้ำตา “ผู้ชายคนไหนบางที่ไม่ชอบมีผู้หญิงสวย ๆ มาอยู่ข้าง ๆ คุณผิดปกติทางเพศหรือเปล่า” พูดจบก็ผลักประตูออกจากห้องตรงไปที่ฝ่ายบุคคลทันที

สายตาพนักงานหลายคู่ที่คอยสังเกตสถานการณ์อยู่ก่อนแล้ว มองเลขาสาวที่เดินร้องไห้ออกมาจากห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านายไปที่ฝ่ายบุคคล ต่างพากันซุบซิบว่าเป็นแบบที่ทุกคนคิดไว้เลย เพราะตอนที่เจ้านายยังไม่กลับมาจากต่างประเทศก็พอจะได้ยินมาบ้างว่าเปลี่ยนเลขาไปแล้วสี่คน พอรู้ว่าผู้เป็นเจ้านายรับเลขาคนที่ห้ามาทำงาน และกำลังจะดูว่าเลขาคนใหม่จะทำลายสถิติลาออกตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่ถึงชั่วโมงไหม ก็เป็นแบบที่เคยได้ยินมาจริง ๆ นอกจากอยากรู้อยากเห็นแล้ว พนักงานที่เห็นก็ต้องนึกขนลุกขึ้นมาตามๆ กัน เพราะต่างก็ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แต่ที่เคยรู้มาก็คือเจ้านายคนนี้ของพวกเขาเนี้ยบ และเจ้าระเบียบมาก ถึงทุกคนจะยังไม่เคยเจอด้วยตัวเอง แต่ก็อดกลัวรังสีที่แผ่ออกมาจากตัวของประธานบริษัทของตนกันไม่ได้

ตาวรุ่นน้องคนสนิทของจีน่า ไปคุยงานที่ต่างแผนกและเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงรีบวิ่งหน้าตาตื่นกลับมา “เจ๊....เมื่อกี้เจ๊รู้ไหมผมเห็นอะไรมา”

จีน่าที่นั่งทำงานอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว “อะไรของแกอีก งานน้อยหรือไง”

ตาวส่ายหัวถี่ “ไม่น้อย ๆ เจ๊เมื่อกี้ผมเห็นเลขาคนที่ห้าของท่านประธานเดินร้องไห้ไปฝ่ายบุคคลแล้ว เห็นด้วยตาเนื้อเลย เหมือนที่เขาพูดกันเลย ผมนี่ขนลุกซู่”

จีน่าไม่มีท่าทางตื่นเต้น หรืออยากรู้อยากเห็นกับเรื่องที่รุ่นน้องมาเล่าให้ฟังแม้แต่น้อย “ไม่ใช่เรื่องของฉันสะหน่อย ยังไงพวกเราก็ไม่ต้องไปเป็นเลขารองรับอารมณ์เยือกเย็นของท่านประธานอะไรนั่นอยู่แล้ว” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นหอบโน้ตบุ๊ก และเอกสารที่เตรียมไว้เดินไปที่ห้องประชุม

“เจ๊จะไปไหนน่ะ?”

“ประชุม”

“เออ...ผมลืมเลย รอผมด้วย”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป