บทที่ 3 3
สตรีวัยห้าสิบเศษชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดทะแม่ง ๆ ของหญิงสาว นางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ
“ขอบใจหนูแพรมากนะ” นางคงคิดมากไปเอง เธอเป็นเลขาของลูกเขย รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาคงไม่มีความรู้สึกแบบนั้นต่อกันหรอก
“แพรขอตัวก่อนนะคะ” พินแพรผู้สง่างามในวัยสามสิบห้าคลี่ยิ้มหวานละมุนก่อนจะเดินจากไป
………………..
สนามบินสุวรรณภูมิ
รามมองเห็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งได้สัดส่วนและหน้าตางดงามจนเป็นที่สะดุดตาของใคร ๆ กำลังลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมาก็ยกมือขึ้นโบก เมื่อเห็นเธอยกมือทักทายตอบจึงลดมือลง รอจนเข้ามาใกล้จึงเข้าไปทักทาย
“สวัสดีหนูนิด”เขาไม่ได้ตั้งใจมารับเธอ แต่เพราะต้องมาส่งลูกค้าวีไอพีของบริษัทด้วยตนเองพอดี จึงรับอาสาแทนพ่อตาแม่ยาย
สิริญ่าถอดแว่นตาดำแล้วพนมมือระดับอก “สวัสดีค่ะพี่ราม”
ชายหนุ่มมองหญิงสาววัยยี่สิบเศษๆ แล้วรู้สึกปวดหัวใจตามไปด้วย ดวงตาของเธอบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างชัดเจน
“พี่ขอโทษนะหนูนิด ที่พี่..”
“อย่าเพิ่งพูดเลยค่ะ นิดอยากเจอพี่แก้ว พานิดไปหาพี่แก้วหน่อยสิคะ” เธอโกรธเขาเพราะเธอเชื่อเนื้อความในจดหมายของพี่สาว แต่หลังจากที่นั่งร้องไห้มาตลอดการเดินทางเกือบสิบห้าชั่วโมง ก็ทำให้เธอคิดได้ว่าเธอต้องมีหลักฐานให้มากกว่านี้ ใครถูกใครผิด ใครเลวกว่าใคร เธอต้องรู้ความจริงให้ได้ก่อนจะเล่นงานพวกเขา เธอจึงอดทนอดกลั้นไม่แสดงความรู้สึกให้พวกเขารู้ตัว แต่คนที่เธอหมายหัวเอาไว้จริง ๆ กลับไม่ใช่เขา
“นี่เหรอคะคุณพินแพรที่เป็นเลขาของพี่ราม”
พินแพรมองหญิงสาวที่สวยสดงดงามทั้งรูปร่างหน้าตาและอายุ “ค่ะ ดิฉันเอง คุณนิดโตเป็นสาวแล้วนะคะ แล้วก็สวยมาก ๆ ด้วย”
“ค่ะ นิดได้ยินคุณพ่อเล่าให้ฟังว่าคุณพินแพรช่วยเหลือเราเรื่องงาน..” ก้อนแห่งความเสียใจวิ่งมาจุกอยู่ที่คอหอยจนเธอพูดไม่ออก เธอกลืนก้อนนั้นลงท้องอย่างเจ็บปวด “..งานพี่แก้วเป็นอย่างดี นิดขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ”
“พี่กับคุณแก้วก็สนิทกันมาก กับพี่รามเราก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน พี่ยินดีค่ะ”
“วันนี้นิดมาแล้วนิดจะจัดการทุกเรื่องต่อเอง คุณพินแพรไม่ต้องเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยงานมาตลอดหลายวัน”
“พี่ว่าให้แพรเขาทำต่อไปให้จบก็ดีนะหนูนิด หนูนิดมาเหนื่อยๆ ควรพักผ่อนออมแรงเอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า”
“นิดทนได้ค่ะพี่ราม พรุ่งนี้นิดจะได้ส่งพี่แก้วขึ้นสวรรค์แล้ว แค่วันเดียวเท่านั้นนิดทนได้สบายมาก”
“ปล่อยให้หนูนิดเขาจัดการต่อเถอะคุณราม ให้เธอได้ทำให้พี่สาวของเธอเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ” ดวงดาวพูดแทนลูกสาวเพราะรู้ว่าเธอรักพี่สาวของเธอมาก
“ก็ได้ครับคุณแม่”
………………..
หลังจากเสร็จจากการสวดศพและเตรียมความพร้อมสำหรับวันใหม่เรียบร้อยทุกอย่างแล้ว สิริญ่าก็เดินไปหาพี่เขยที่นั่งอยู่หน้าโลงศพของพี่สาวเพื่อชวนเขากลับบ้านตามที่ได้คุยกันเอาไว้ แต่เท้าของเธอก็ต้องชะงักค้างพร้อมกับสายตาที่ไม่พอใจ เมื่อเห็นพินแพรเดินเข้าไปนั่งลงใกล้ๆ ชายหนุ่มแล้ววางมือบนแผ่นหลังพร้อมกับยื่นหน้าไปพูดที่ข้างหูของเขา
“ทุเรศสิ้นดี ต่อหน้าพี่แก้วแท้ๆ ยังกล้าทำถึงขนาดนี้ หน้าด้านกันทั้งคู่ พี่รามคะ” ด่าทออย่างไม่พอใจแล้วจึงเรียกชายหนุ่มด้วยเสียงที่ดังขึ้นก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหา “นิดเสร็จแล้วค่ะ เราจะกลับกันได้หรือยัง”
“กลับสิจ๊ะ” รามยืนขึ้น “แพรก็ควรจะกลับได้แล้วนะ เรื่องงานเอาไว้ค่อยคุยกันหลังจากพรุ่งนี้นะ”
“แต่เรื่องนี้สำคัญนะคะพี่ราม”
“จะมีอะไรสำคัญไปกว่างานของเมียอีกคะคุณพินแพร พรุ่งนี้เราจะส่งพี่แก้วไปสู่สุคติแล้ว คุณน่าจะรู้กาลเทศะบ้างนะคะ” สิริญ่าไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่คิดที่จะรักษาน้ำใจฝ่ายตรงข้ามสักนิด
“แต่งานเผาศพจะมีตอนเย็นนะคะคุณนิด ตอนเช้าแพรอยากให้พี่รามปลีกตัวไปสักชั่วโมงเท่านั้น”
“ไม่ว่าตอนไหนพรุ่งนี้ก็คือวันสุดท้ายที่เราจะได้ส่งพี่แก้ว ฉันไม่เห็นอะไรสำคัญไปกว่านี้แล้วค่ะ”
“แต่”
“ทำตามที่หนูนิดพูดนะแพร” รามไม่อยากให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้จึงพูดแทรกขึ้นมาตามความคิดของตัวเอง “เธอไปส่งคุณไฮน์แทนพี่ทีก็แล้วกัน บอกเหตุผลเขาไปว่าทำไมพี่ถึงไปส่งด้วยตัวเองไม่ได้ พี่เชื่อว่าเขาจะต้องเข้าใจ”
“แล้วถ้าเขาไม่เข้าใจล่ะพี่ราม เราไม่ต้องสูญเสียผลประโยชน์ร้อยกว่าล้านไปฟรีๆ เหรอ คิดดูให้ดี ๆ นะคะพี่ราม” พินแพรพยายามหว่านล้อม
“ถ้าเขาไม่เข้าใจพี่ก็ยอมเสีย พรุ่งนี้พี่จะต้องพาลูกมาส่งแม่ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย พี่ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เรากลับกันเถอะหนูนิด” กล่าวจบก็เอ่ยชวนน้องเมียและเดินนำไปที่รถอย่างไม่ลังเล ทิ้งให้เลขาคนสนิทยืนอยู่กลางศาลาวัดเพียงลำพัง
พินแพรสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ดี ๆ ไฟภายในศาลาวัดก็ดับลง เกือบจะพร้อม ๆ กันนั้นหูของเธอก็ได้ยินเสียงกุกกักแว่วมาจากโลงศพ จึงรีบวิ่งไปที่รถพร้อมกับขนกายที่ลุกซู่ด้วยความกลัว
“ไอ้แหวงมึงจะรีบปิดไฟไปไหนวะ ไม่เห็นหรือไงว่าข้ายังเก็บของอยู่” สัปเหร่อเดินออกมาจากด้านหลังโลงศพและต่อว่าต่อขานเด็กวัดรุ่นใกล้เคียงกัน
“ข้าจะไปเห็นได้ยังไงวะ ข้าเมา”
“เจริญนะมึง อยู่กับวัดแท้ๆ แต่รักษาศีลห้ายังไม่ได้เลย ปิดไฟปิดประตูให้หมดเลยนะ ข้าไปละ”
“เออ”
