บทที่ 2 ถวายตัวด้วยท่าดัดหลัง 2
“อ๊ากกกกก!!!!”
สุรเสียงปานอยู่ในโรงเชือดมิใช่อยู่ในห้องบรรทมของผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดินจงหยวน ทำเอาขันทีคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านนอกสะดุ้งน้อยๆ แต่มิทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปแต่ประการใด...เสียงเช่นนี้นานๆ ครั้งหวงตี้จะเปล่งออกมายามที่สนมรักปรนนิบัติจนพอพระทัยถึงขีดสุด เต็มไปด้วยความปรารถนาอิ่มเอมสมฤดี
“ลี่กงกงเจ้าคะ คือ...” นางกำนัลเอ่ยด้วยอาการปากคอสั่น นางไม่เคยได้ยินการร่วมหอที่ดุเดือดปานนี้เลย
หลินกงกงกลับส่งสายตาดุมาให้ “อย่าพูดเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย ข้าเคยเตือนแล้วมิใช่หรือ”
“...เจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นั้นก้มหน้านิ่ง ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำถึงใบหู...
จะไม่ให้พูดถึงได้อย่างไร เสียงดังมาถึงหน้าตำหนักขนาดนี้ ช่างน่าอิจฉาฟู่เหลียงเจียเหลือเกินที่ถวายการปรนนิบัติจนเป็นที่โปรดปรานถึงเพียงนี้ ซึ่งเหลียงเจีย หรือธิดาจากครอบครัวสามัญชน รวมถึงธิดาข้าราชสำนักและปัญญาชนน้อยใหญ่ที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาในวัง จะต้องมาจากครอบครัวที่สุจริตไร้มลทิน และไม่ได้เป็นข้ารับใช้ โสเภณี หรือทาส คุณสมบัติเยี่ยงนี้จึงมีน้อยนัก
“อ๊ากกกกก!!!!”
ตอนนี้หวงตี้ไม่อาจตรัสอะไรไปได้มากกว่าคำนี้อีกแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนถูกหักกระดูกดัดแขนนั้นเป็นความเจ็บปวดยากเกินจะทานทนไหว ครั้นจะหันไปมองหน้าผู้กระทำ ร่างกายก็ถูกดึงรั้งเอาไว้จนไม่อาจทำได้ดั่งใจ
“เจ็บหรือเพคะ” น้ำเสียงนางยังคงไม่ทุกข์ร้อนแต่ประการใด
หรือว่าแท้จริงแล้วนางไม่ใช่น้องสาวของลี่เฟย แต่เป็นคนของหน่วยองค์รักษ์พิทักษ์วังหลวงที่ชื่นชอบการทรมานคนมากกว่าสิ่งใด ซึ่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี้ภายหลังทำเรื่องทุจริตมากมายจนมีการตั้งหน่วยซีฉ่างเข้าไปสอดส่องพฤติกรรมอีกที หวงตี้พยักหน้าอีกครา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟู่หยวนเพ่ยจึงหยุดมือ ปล่อยแขนขาเขาแล้วไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่มุมเตียง รอคอยโทสะที่อีกฝ่ายเตรียมจะปะทุใส่นาง
“เจ้า...เจ้าคิดจะฆ่าเราหรือ!” หวงตี้ทรงชี้หน้าตำหนิอีกฝ่าย เมื่อครู่นี้เจ็บจนเผลออุปาทานไปว่ายายเมิ่งกำลังจะกรอกน้ำแกงลืมเลือน แล้วถีบตัวเขาไปเกิดใหม่แล้วด้วยซ้ำ!
“ทูลฝ่าบาท ที่หม่อมฉันทำไปเพราะมีความจำเป็นเพคะ” ฟู่หยวนเพ่ยทูลด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คล้ายนางรับมือกับบุคคลที่เกรี้ยวกราดเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
“เนื่องจากจุดจว่อเจียนและอิ้วเทียน ซึ่งก็คือจุดบริเวณไหล่ซ้ายและขวาของฝ่าบาทมีอาการตึงและเริ่มมีพังผืดก่อตัว เกรงว่าถ้าปล่อยไว้นาน พระพลานามัยของฝ่าบาทจะทรุดลง หม่อมฉันเห็นว่ามิได้การ จึงได้กระทำโดยพลการ ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัยด้วยเพคะ”
“ปกติเราก็มีหมอหลวงมานวดกดจุดให้บ่อยครั้ง ไม่เห็นมีการรายงานเรื่องนี้”
“อาจเป็นเพราะหลังจากที่พระองค์รักษาด้วยวิถีการทุยหนา[3]แล้ว ยังคงทำกิจวัตรเดิมๆ ซ้ำๆ ทำให้การรักษาไม่หายขาดเพคะ” ฟู่หยวนเพ่ยทูล “เช่นนั้นอย่างน้อยตอนที่หม่อมฉันถวายการปรนนิบัติ ถวายการนวดรักษาควบคู่กับการใช้วิธีนวดกดจุดของหมอหลวงก็ยังดี”
หวงตี้ทรงนิ่งคิดไป ปกติสตรีที่ถวายตัวให้พระองค์ไม่เคยมีใครห่วงใยเกี่ยวกับสุขภาพของพระองค์สักนิด ทำไมพระองค์จะไม่รู้ว่า ทั้งยาและเครื่องหอมเร้ากำหนัด ไปจนถึงการหักโหมราชกิจและเรื่องบนแท่นบรรทมนั้นทำร้ายทำลายสุขภาพเพียงใด จะมีก็แต่ลี่เฟยและสตรีนางนี้ที่ถามไถ่และหาวิธีการดูแลพระองค์ให้สุขภาพแข็งแรง
พระองค์ดันบั้นเอวที่ยอกน้อยๆ ทีหนึ่ง ก่อนเข้าไปประคองฟู่หยวนเพ่ย
“เงยหน้าขึ้นเถอะ เราไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก อีกอย่าง...” พระองค์ลอบมองหว่างอกของนางที่มีกระดาษสัญญาโผล่แพลมอยู่ “เจ้ามีสัญญาไม่เอาความที่ข้าลงลายมือไว้ ถ้าข้าลงโทษเจ้าก็ถือว่าเป็นทรราช”
“ขอบพระทัยเพคะ” เด็กสาวยิ้มบาง โชคยังดีที่คนคนนี้ยอมฟังนาง ไม่เหมือนโลกที่นางจากมา ที่บุคลากรทางการแพทย์เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลติดคุกติดตะรางก็มี นับว่ายุคสมัยที่มาอยู่ในตอนนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก
“แล้ว...ต้องนวดแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่” พระองค์ตรัสถาม ยังเสียวสยองกับท่าดัดหลังของนางไม่หาย
“อีกสองสามท่าเพคะ เพียงแต่ว่าคงต้องให้ฝ่าบาททนเจ็บอีกนิดหน่อย” นางทูลตอบอ้อมแอ้ม ขณะที่แอบเอามือถูกันไปมาอย่างเตรียมพร้อม
หวงตี้ได้ฟังเช่นนั้นก็ให้ครุ่นคิด คำนวณเรื่องความคุ้มไม่คุ้มในการนวดครานี้ แต่พอเห็นนางยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าวิธีการนวดของสำนักนางนั้นช่วยได้ และไม่อยากปฏิเสธความหวังดีของเด็กสาวหน้าตางดงาม สุดท้ายจึงตอบตกลง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟู่หยวนเพ่ยก็ให้นึกยินดีนัก ครานี้นางจับพระองค์นั่งสมาธิเอามือประสานไว้ที่ต้นคอ จากนั้นก็รั้งแขนที่สอดเข้ามาตรงรักแร้ของเขา แล้วบังคับให้หงายหลังลงมาช้าๆ จนแผ่นหลังของเขาชนกับอกอวบของนาง ท่านี้ก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยลงไปกว่าท่าแรกสักเท่าไร ถึงจะแนบชิดกับร่างกายนาง แต่จะหื่นก็ไม่หื่น จะร้องก็ร้องไม่ออก แม้นางจะทำกับเขาเบาๆ แล้วก็ตาม
ฟู่หยวนเพ่ยได้แต่ถวายการปรนนิบัติหวงตี้อย่างมีความสุข จากเดิมที่เคยสิ้นหวังว่าวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาจะหายไปกับการที่ต้องมาจับเจ่าเป็นสนมเช่นนี้ นับว่าการเดิมพันของนางมิสูญเปล่า
จากท่าแรก ท่าสอง ท่าสาม พลิกซ้ายป่ายขวาจนโอรสสวรรค์ยังสิ้นลาย ร่างกายเริ่มปวดระบม แต่นางก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงสำแดงวิชาจากสำนักอู่ฝอซื่อของนางอย่างแข็งขัน พอได้จังหวะจะคลานหนี ฟู่หยวนเพ่ยก็ลากเขาขึ้นเตียงประหนึ่งนายพรานลากกวางน้อยที่สิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่อับจนหนทางยอมให้กระทำการตามใจจนเสร็จสิ้น
เมื่อแสงแรกแห่งอรุณมาถึง ฟู่หยวนเพ่ยลุกจากเตียงพลางปิดปากหาว ขยับร่างกายซ้ายขวาคลายความเมื่อยล้า ก่อนหันไปมองหวงตี้ที่นอนคว่ำไร้สิ้นเรียวแรงแม้แต่จะขยับนิ้วหรือเปิดเปลือกตา พลางส่ายหน้าน้อยๆ
“ครั้งแรกก็เช่นนี้ทุกคน”
หลินกงกงพร้อมนางกำนัลมาถึงพร้อมเครื่องทรงและเสื้อผ้าของหยวนเพ่ย เมื่อเห็นท่าทีของฝ่าบาทก็ให้ลอบสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ย
“คารวะนายหญิงน้อย”
“ท่านกงกงมาพอดี” ฟู่หยวนเพ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง “ข้าเกรงว่าช่วงสองสามวันนี้ฝ่าบาทคงมิอาจออกว่าราชการได้ รบกวนท่านให้หมอหลวงจัดยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวดถวายฝ่าบาทด้วย”
หลินกงกงกะพริบตาปริบๆ เขาควรจะนึกยกย่องหรือเกรงกลัวนางที่สูบพลังชีวิตพญามังกรผู้นี้ให้สลบไสลดีหรือไม่
“...ข้าน้อยทราบแล้ว”
ฟู่หยวนเพ่ยลุกจากเตียงอย่างกระฉับกระเฉงให้เหล่านางกำนัลช่วยแต่งตัว นางสวมอาภรณ์สีเฟิ่นหง[4] เกล้ามวยประดับปิ่นตกแต่งเรือนผมด้วยดอกมู่ตานสีชมพู ดูไม่มากหรือน้อยเกินไป หลังจากคล้องผ้าคลุมไหล่แล้ว นางจึงลุกขึ้นยืน ย่อกายคารวะชายหนุ่มที่หลับเสมือนสิ้นลม
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
