บทที่ 8 จุดเสินเหมิน 2

“กลัวว่าจะผิดใจกับลี่เฟยหรือ”

นางส่ายหน้า “พี่สาวใจกว้างยิ่ง ไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้นเพคะ”

พระองค์แย้มสรวล ทรงรู้ดีอยู่แก่พระทัยว่าจุดประสงค์ที่ลี่เฟยพาสตรีนางนี้เข้าวังคืออะไร นางคงเผชิญเรื่องกดดันมาไม่น้อยทีเดียว

“แต่ถ้าไม้กลายเป็นเรือ ถึงตอนนั้นลี่เฟยก็โกรธเจ้าไม่ได้”

นิ้วเรียวแตะสาบเสื้อของเด็กสาว เรื่อยระมาจนถึงปมผ้าที่ผูกเอาไว้หลวมๆ กระตุกเพียงเล็กน้อย ผิวเนื้ออวบอิ่มขาวผ่องก็เผยให้เห็นรำไร...ขนาดนางจับมือเอาไว้ เขายังทำได้ นางควรออกปากตำหนิหรือชมเชยดี

“เพ่ยเอ๋อร์” เขาเรียกชื่อเล่นนาง ใบหน้าใกล้ชิดจนรู้สึกลมหายใจอุ่น หยวนเพ่ยแม้จะทำหน้านิ่ง แต่ใบหน้าก็อดร้อนผ่าวไม่ได้

“ฝ่าบาทประสงค์ให้หม่อมฉันถวายตัวหรือเพคะ” นางถามเสียงแผ่ว เขากลับพยักหน้าแล้วจูบที่แก้มนาง

“ได้หรือไม่?”

“หากโอรสสวรรค์ต้องการ ไยหม่อมฉันจะกล้าขัด” นางเอ่ย “แต่หม่อมฉันขอเวลาไม่ถึงอึดใจ นวดถวายพระองค์สักเล็กน้อย เพื่อให้เรื่องคืนนี้ราบรื่น ได้หรือไม่เพคะ”

“ต้องถอดเสื้อหรือไม่” พระองค์ตรัสถามหยอกเย้า

“ไม่ต้องเพคะ เพียงแค่พระหัตถ์ของพระองค์ก็พอ” หยวนเพ่ยมองมือใหญ่ที่นางต้องใช้สองมือของตนเองรองรับถึงจะพอดีนั้น แล้วหงายมือเขาชี้ตรงที่รอยพับฝ่ามือบริเวณนิ้วก้อย “นี่เรียกว่าจุดเสินเหมินเพคะ เป็นจุดที่สำคัญในเส้นลมปราณหัวใจ ถ้ามีอาการเจ็บหัวใจ แน่นหน้าอก ถ้ากดจุดนี้บ่อยจะช่วยให้ลดอาการ”

ว่าจบนางก็ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดคลึง สลับกับกด-ปล่อย ทำเช่นนี้สลับกันไปอีกห้าหกครั้ง จากทีแรกที่หวงตี้หนุ่มรู้สึกตื้อๆ หน่วงๆ พลันรู้สึกง่วงงุนโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้พระองค์จะสะบัดหน้าหลายครั้งก็มิอาจบรรเทา

“หยวนเพ่ย...เจ้าทำอะไร...”

“หม่อมฉันลืมบอกว่าจุดเสินเหมินนั้นนอกจากบำรุงหัวใจแล้ว ยังช่วยทำให้เกิดอาการง่วง หลับสบายเพคะ”

เสียงของนางห่างไกลเรื่อยๆ แม้อยากจะลุกขึ้นมาดุนาง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ พระองค์หมดสติหลับไปในอ้อมแขนนางนั่นเอง

ฟู่หยวนเพ่ย เจ้าช่างเป็นสตรีที่ร้ายกาจเกินใครจริงๆ

หลังจากจัดแจงให้หวงตี้บรรทมในท่าที่เหมาะสมแล้ว หยวนเพ่ยก็สวมเสื้อคลุมเดินไปยังตำหนักปีกขวา โดยก่อนไปยังกำชับนางกำนัลว่า ถ้าฝ่าบาทตื่นบรรทมให้รีบไปปลุกนางทันที

ลี่เฟยแปลกใจไม่น้อยที่พบน้องสาวยืนยิ้มหวานอยู่หน้าห้อง มาถึงก็กระโดดขึ้นเตียง แล้วกอดนางเอาไว้แน่น

“เพ่ยเอ๋อร์ นี่มันอะไรกัน แล้วฝ่าบาทล่ะ”

“เข้าบรรทมไปแล้ว ถึงได้หนีมานอนด้วย” หยวนเพ่ยช้อนตาขึ้นมอง “ได้ไหมเพคะ”

ลี่เฟยพยักหน้า จากนั้นจึงขยับตัวให้น้องสาวของนางนอนด้วย ซึ่งนางใช้เวลาไม่ถึงอึดใจก็หลับสนิท ลี่เฟยเห็นเช่นนั้นก็ให้นึกไปต่างๆ นานา แต่ก็คิดสรุปได้อย่างเดียวว่าหยวนเพ่ยเพียงต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง จึงหนีมาเช่นนี้

แม้จะนึกเห็นใจสงสาร แต่อีกใจหนึ่งก็นึกโล่งอก...

เมื่อใกล้ถึงยามเหม่า (05.00 น. - 6.59 น.) นางกำนัลที่อยู่ตรงหน้าประตูของตำหนักฝั่งซ้าย รีบรุดไปปลุกฟู่หยวนเพ่ยเพื่อให้เตรียมถวายการปรนนิบัติกิจวัตรประจำวันของหวงตี้ได้ทันก่อนที่จะตื่นบรรทม เด็กสาวจึงรีบล้างหน้ามวยผมปักปิ่นน้อยชิ้นพอให้ดูเรียบร้อย สวมชุดสีชิงเหลียน[2] ปักลายด้วยด้ายเงิน แล้วรีบเดินตามนางกำนัลที่นำฉลองพระองค์และของใช้ส่วนพระองค์สำหรับทำกิจวัตรตามเข้าไปยังห้องนอนของนางที่ใช้เป็นห้องบรรทมชั่วคราว

ที่นั่น หวงตี้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง เส้นผมปล่อยยาวสยายเนื่องจากเพิ่งตื่นนอน แม้ใบหน้าจะไม่แสดงท่าทีใดๆ แต่พอนางเห็นสีหน้านั้นก็พาให้โล่งใจที่เขาดูผ่องใสสดชื่นจากการได้บรรทมเต็มอิ่มโดยไม่มีผู้ใดรบกวน นางจึงค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าเขาอย่างแช่มช้อย

“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”

“ทำได้แสบนักนะ ฟู่หยวนเพ่ย” เขาชี้นิ้วใส่นาง ทำท่าคล้ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพิโรธนางเป็นการใหญ่ แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอ่อนบางกับสีหน้าไร้เดียงสาของเด็กสาวก็ถอนใจ “เอาเถอะ ลุกขึ้น”

“ขอบพระทัยเพคะ” ฟู่หยวนเพ่ยลุกขึ้น จากนั้นจึงให้เวลาหวงตี้ทรงทำกิจวัตรยามเช้าอย่างการล้างพระพักตร์และการสีพระทนต์ แล้วจึงช่วยแต่งองค์ทรงเครื่อง เริ่มจากฉลองพระองค์สีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรห้าเล็บงามสง่า แล้วจึงประทับให้นางกำนัลมวยพระเกศาเพื่อสวมเหมี่ยนกวาน[3]  เป็นอันดับสุดท้าย

“เมื่อคืนเจ้าไปนอนที่ไหน” หวงตี้หนุ่มตรัสถาม ขณะที่นางกำนัลใช้พระสางงาช้างประดับทองหวีเส้นพระเกศาอย่างเบามือ จากนั้นจึงรวบขึ้นเป็นมวยกลางพระเศียร

“หม่อมฉันอยู่ใกล้ๆ พระองค์เพคะ” นางทูลตอบ...ตำหนักของพี่สาวเดินไม่กี่ก้าวก็กลับมายังที่นี่ได้ นับว่าอยู่ใกล้ ไม่ผิดๆ...

“แต่เมื่อตอนใกล้ฟ้าสางเราตื่นมาไม่เห็นเจ้า” พระองค์เถียง ท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่ตัดพ้อเมื่อตื่นมาไม่เจอพี่เลี้ยงอย่างใดอย่างนั้น

“ข้าในพระองค์ควรตื่นก่อนนอนทีหลังเพื่อปรนนิบัติรับใช้เจ้านาย นับว่าเหมาะสมรู้หน้าที่เพคะ” นางทูลตอบยิ้มๆ จากนั้นจึงส่งเหมี่ยนกวานให้แก่นางกำนัลเพื่อประดับบนพระเศียรแล้วปักปิ่นทองเพื่อให้อยู่ทรง

พระองค์ทรงลุกขึ้น มุกระย้าสิบสองเส้นที่ประดับเหมี่ยนกวานขยับไหวเบาๆ พลางทอดพระเนตรนางที่จัดแต่งเครื่องทรงให้พระองค์จนดูเข้าที่เรียบร้อยแล้วจึงปล่อยมือ

“หยกที่เราให้ ยังเก็บไว้อยู่หรือไม่”

หยวนเพ่ยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งจึงตอบ “เพคะ เก็บไว้ในกล่องอย่างดีเพคะ”

หวงตี้ทอดมองนาง ยิ่งนึกหมั่นไส้และเอ็นดูอย่างประหลาด พระองค์ยกหัตถ์เคาะหน้าผากนางเบาๆ ทีหนึ่งแล้วจึงตรัส

“เก็บไว้ดีๆ ดูเผินๆ เหมือนไม่สำคัญ แต่แท้จริงมันสำคัญเพราะเป็นหยกที่เสด็จแม่ให้เราไว้ เรารักมันมากที่สุด”

นางยกมือขึ้นลูบหน้าผาก งุนงงว่าถ้ารักมากเช่นนั้นไฉนไม่เก็บไว้เอง แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่ยิ้มรับ “เพคะ”

“อ้อ แล้วนั่น” พระองค์ทรงชี้ไปยังปิ่นผีเสื้อฝังพลอยเม็ดจิ๋วที่ประดับมวยผมนาง “นั่นของที่เรามอบให้ลี่เฟยนี่”

“เพคะ พี่สาวประทานให้หม่อมฉันเอง”

หวงตี้หนุ่มย่นพระขนงเล็กน้อย จำได้ว่าในรายการของที่พระองค์มอบให้ลี่เฟยนั้น ปิ่นผีเสื้อนี้ด้อยราคาที่สุด และถ้าพระองค์ถามนางไปมากกว่านี้ นางก็จะเสริมว่า 'หม่อมฉันเป็นคนเลือกเอง อย่าได้ตำหนิพี่สาว' อะไรเยี่ยงนั้นแน่ๆ

นางจะรู้หรือไม่ บางทีการที่รักพี่สาวมากเกินไป ก็ทำให้ถูกเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว

พระองค์ถอนหายใจ ไม่วายหยิกแก้มนางอีกหนส่งท้าย จากนั้นจึงเสด็จออกจากตำหนักของนาง โดยมีนางย่อกายคารวะส่งเสด็จพร้อมกับเหล่านางกำนัล

แล้วในช่วงสายวันนั้น ขันทีคนสนิทของฝ่าบาทก็ส่งเครื่องประดับมาให้หนึ่งถาดใหญ่ ที่มีทั้งปลอกนิ้วลงยา ทองสานลายโปร่งประดับไข่มุก เข็มกลัดจากป๋อสื่อประดับด้วยมรกตสีเขียวเข้มมีค่าควรเมือง และปิ่นทั้งทองและเงินประดับเพชรพลอยละลานตา...

บทก่อนหน้า
บทถัดไป