บทที่ 9 EP 01 เงื่อนไขของไดสึเกะ [6]

ก๊อกๆ ๆ

ไดสึเกะเคาะประตูเร่ง เสียงเคาะประตูทำให้ฉันสมาธิหลุดไปนิดหน่อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นแจกันที่ตั้งอยู่ที่หน้ากระจก

ฉับพลันก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว นั่นทำให้ฉันเอื้อมมือไปคว้าแจกันใบนั้นมาแล้วรีบหยิบดอกไม้ที่ปักอยู่ทิ้งใส่ถังขยะ ก่อนจะเดินลึกเข้าไปด้านในเพื่อหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดมือที่ฉันเห็นมันแขวนอยู่ที่ผนังออกมา

ก๊อกๆ ๆ

“นามิ”

บ้าฉิบ! เขาจะเร่งจนวินาทีสุดท้ายเลยรึยังไง ขอเข้าห้องน้ำแบบมีความสุขสักสิบนาทีก็ไม่ได้

ฉันคิดในใจ แต่มือกำลังสาละวนอยู่กับการห่อแจกันด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กนั่น ห่อเสร็จก็รีบฟาดมันกับผนังห้องน้ำสุดแรงเพราะฉันรู้ดีว่ามีเวลาไม่มาก ฉันต้องทำทุกอย่างด้วยสติ ถ้าขืนรีบร้อนเกินไป ทุกอย่างมันอาจยิ่งแย่ลงกว่าเดิม

“ฉันไม่ตลกนะนามิ”

ฉันหัวเราะอยู่รึไงล่ะ!

“นามิ!”

โครม!

แล้วประตูห้องน้ำก็ถูกพังเข้ามาตรงกับจังหวะที่ฉันกดชักโครกพอดี

“ทำบ้าอะไรของเธอ”

“โอ๊ย!” ฉันหลุดปากร้องเมื่อไดสึเกะเดินเข้ามากระชากแขนฉันแรงๆ เพราะแขนที่ว่าดันเป็นแขนข้างซ้ายที่ถูกเขายิง ฉันว่าแผนการของเขาน่าจะเป็นการทำให้ฉันทนพิษบาดแผลจากการถูกยิงไม่ไหวแน่ๆ เขาถึงได้คอยแต่จะซ้ำเติมที่แผลบริเวณนั้นตลอดทุกครั้งเลย

“ฉันถามว่าทำอะไร” น้ำเสียงตะคอกทำให้ฉันสะดุ้งนิดหน่อย แต่นี่เขาคิดว่าฉันจะบอกเขาจริงน่ะเหรอว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไร

“ฉี่”

“อย่ามาโกหก”

“งั้นนายคิดว่าฉันทำอะไรฉันก็ทำไอ้นั่นแหละ”

“นามิ!”

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันเพราะฉันไม่ใช่ลูกน้องนาย ปล่อย!” ฉันร้องบอก แต่กลับถูกไดสึเกะลากออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่เขาจะผลักฉันลงกับเตียง

แต่มันไม่ได้มีฉากเรตเกิดขึ้นหลังจากนั้นหรอกนะ เพราะทันทีที่ฉันล้มลงบนเตียงผู้ป่วย สิ่งที่ไดสึเกะทำก็คือการจับฉันมัดแขนมัดขาเอาไว้ตามเดิมทันทีต่างหาก

งี่เง่า!

“อย่าคิดจะทำอะไรที่ทำให้ฉันเดือดร้อน” ไดสึเกะย้ำในขณะที่มือกำลังผูกเชือกมัดข้อเท้าของฉันติดกับเตียงแน่นๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่พยาบาลเป็นคนมัด ฉันรู้สึกว่าความยาวของสายรัดมันจะยาวกว่านี้พอให้ฉันสามารถพลิกตัวได้ด้วยซ้ำ

บ้าเอ๊ย เขาเล่นมัดซะแน่นแบบนี้แล้วฉันจะนอนตะแคงได้ยังไง ถึงฉันจะไม่ชอบนอนตะแคงเพราะมันทับแผลแต่อย่างน้อยก็พอจะแก้เมื่อยได้บ้าง

“อย่าพยายามเร่งให้ฉันหมดความอดทนกับเธอนามิ”

“คิดว่านายหมดความอดทนเป็นคนเดียวรึไงล่ะ โอ๊ย นี่ เบาๆ สิ ฉันเจ็บนะ!”

“ถ้ายังไม่เลิกตุกติก เธอจะเจ็บกว่านี้หลายเท่า” ไดสึเกะคาดโทษ ก่อนจะเดินอ้อมมามัดข้อมือฉันอีกข้างด้วยความรวดเร็ว สุดท้ายฉันก็กลับมาเป็นนักโทษที่ถูกมัดแขนมัดขาติดกับเตียงตามเดิมจนได้

ฉันนอนนิ่งไม่ขยับเพราะรู้ดีว่าป่วยการจะต่อรองหรือพูดอะไรออกไป และบอกตามตรงว่าเริ่มชินแล้วกับการต้องถูกมัดอยู่แบบนี้ ดีเหมือนกัน ระหว่างที่ต้องนอนนิ่งๆ ฉันจะได้คิดหาทางออกไปจากไอ้ปัญหาบ้าๆ นี่โดยไม่มีใครสงสัย

“อ้าปาก”

รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไดสึเกะยื่นช้อนที่เขาเพิ่งจะตักซุปมาจ่อที่ปากอีกรอบ เดาว่าเขาคงไล่พยาบาลออกไปแล้วเหมือนเคย และคงรู้ด้วยว่าฉันคงไม่ยอมกินง่ายๆ ถึงได้ทำท่าจะเทกรอกปากฉันอยู่แบบนี้

ฟุ่บ!

แล้วฉันก็หันหน้าออกมาอีกทางในทันทีโดยไม่คิดจะเสียเวลาพูดหรือเถียงกับเขาให้วุ่นวาย ไม่กินก็คือไม่กินนั่นแหละ แหกปากใส่หูเขา เขาก็ไม่เข้าใจหรอก

“นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่หันกลับมา จากที่จะเทกรอกทีละช้อน ฉันจะกรอกทีเดียวหมดถ้วยเลยจริงๆ”

ฉันได้ยินไดสึเกะพูดขู่ แต่คำขู่ของเขาไม่ได้ทำให้ฉันคิดจะสนใจเขาเลยสักนิด เพราะตอนนี้สายตาของฉันกำลังเพ่งมองไปที่ต้นแขนด้านซ้ายของตัวเองที่เหมือนมันจะมีเลือดไหลซึมออกมา แย่แล้วสิ!

ต้องเป็นจังหวะที่ฉันถูกเขากระชากในห้องน้ำเมื่อครู่นี้แน่ๆ เพราะตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกว่าเจ็บมากและตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่ด้วย แต่ที่กำลังเพ่งมองมันไม่ใช่เพราะอยากให้เขามาสงสารหรือเห็นใจหรอก ฉันกำลังเพ่งมองมันแล้วคิดอยู่ว่าจะทำยังไงไม่ให้เขาเห็นต่างหาก

เคร้ง!

“บ้าฉิบ!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป