บาบา ยากะ
เอ็นโซ 11:15 น. - อพาร์ตเมนต์ของโลล่า; ถูกมัดไว้ที่ปลายเตียง
อพาร์ตเมนต์อบอวลไปด้วยกลิ่นซิตรัสและดอกสายน้ำผึ้ง เจือด้วยกลิ่นอายอุ่นๆ ของน้ำตาลทรายแดง ราวกับค็อกเทลโบราณของผู้หญิงที่วางทิ้งไว้บนระเบียงอาบแดด ที่นี่ไม่มีกลิ่นของห้องสังหาร มันเป็นกลิ่นของเธอ
ดูไม่เหมือนภารกิจสังหารเข้าไปทุกที เธอมีตุ๊กตาค้างคาวใส่ชุดนอนวางอยู่ข้างหมอน ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย
เอ็นโซขยับตัวต้านเชือกพลางส่งเสียงคำรามในลำคอ ร่างกายของเขาปวดร้าว ด้วยความสูงหกฟุตสี่นิ้ว เตียงบ้าๆ นี่ทำให้เขาต้องงอตัวเล็กน้อย ถ้าเหยียดตัวออกไปก็จะตกเตียง แต่ก็ไปไหนไม่ได้ไกลเพราะถูกขึงไว้ระหว่างเสาทั้งสองข้าง เชือกไม่ได้บาดผิวของเขา แต่เงื่อนพวกนี้... ไม่ใช่งานของมือสมัครเล่น
ผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่นผูกเงื่อนซับซ้อนพวกนี้ได้ยังไงวะ ไม่เป็นไรน่า แกเคยหนีจากสถานการณ์ที่แย่กว่านี้มาแล้ว ไม่เคยถูกมัดแบบนี้ก็จริง แต่ฉันต้องออกไปได้แน่... ในที่สุด
ประตูเปิดออก
เสียงกุญแจ เสียงฝีเท้า เสียงถุงกับข้าวกรอบแกรบ
“โลล่าเหรอลูก ยายเอาชาดอกส้มที่หนูชอบมาให้—”
ความเงียบ
เอ็นโซหันศีรษะไปมอง
หญิงชราผมขาวร่างเล็กยืนอยู่ที่ประตู จ้องเขาราวกับเขาเป็นแมวบนเคาน์เตอร์ครัว ไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้น่าประหลาดใจอะไร
โอเค ดูไม่น่ามีพิษมีภัยเลย หญิงคนนี้ต้องยอมแก้มัดคนที่ไม่เต็มใจจะถูกมัดอย่างเห็นได้ชัดแน่ๆ
เธอสวมเสื้อฮู้ดดี้สีซีดที่เขียนว่า:
คุณย่าที่โอเคที่สุดในโลก
และดูไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
“...แกคงเป็นสาเหตุที่ยัยนั่นรีบร้อนแจ้นออกไปสินะ” หญิงชราพึมพำพลางวางถุงลง “หือ”
เอ็นโซเลิกคิ้ว “คุณดูไม่แปลกใจเลยที่เจอคนถูกมัดติดอยู่กับเตียง”
“ไอ้หนู ชีวิตที่ยายผ่านมาน่ะ ไม่มีอะไรทำให้ยายสะทกสะท้านได้แล้ว”
“เธอเป็นคนมัดผม”
เธอมองหรี่ตาไปที่เสาเตียง ตรวจดูเงื่อนช้าๆ พยักหน้าอย่างทึ่งๆ “เออ ยายดูออก”
“คุณช่วยแก้มัดให้ผมได้ไหมครับ”
“อืม ก็คงได้” เธอบอกพลางเดินไปยังห้องครัว “แต่ยายไม่ทำหรอก”
“...ว่าไงนะครับ”
นี่มันเหี้ยอะไรวะเนี่ย ล้อกันเล่นรึเปล่า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“ใจเย็นๆ พ่อรูปหล่อ ถ้ายัยนั่นทิ้งแกไว้แบบนี้ ก็ต้องมีเหตุผลของเขานั่นแหละ”
“เธอวางยาแล้วก็ลักพาตัวผมมา”
“แกสูงหกฟุตสี่ หนักสัก... 230 ปอนด์ได้มั้ง? แล้วยัยนั่นหนักเท่าไหร่กันเชียว ร้อยยี่สิบปอนด์ตอนตัวเปียกๆ รึไง?”
หญิงชราพ่นลมทางจมูก “แล้วยัยนั่นมัดแกเนี่ยนะ?”
“ผมจำไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“อืม เรื่องวางยาฟังดูไม่เหมือนยัยนั่นเลย แต่เงื่อนน่ะเหรอ?” เธอชี้มาที่เขาด้วยทัพพีไม้ “ฝีมือยายเอง”
กรามของเขากระตุก “อะไรนะครับ”
“ยายสอนเอง สมัยก่อนยายเคยคุมซ่องที่หรูที่สุดในลาสเวกัส นักการเมือง ดารา มหาเศรษฐี... ถ้าพวกเขาอยากได้เพื่อนคุย ก็ต้องมาหายาย การมัดผู้ชายอันตรายๆ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจน่ะเหรอ? เป็นความเสี่ยงในอาชีพ ยายสอนทุกอย่างที่รู้ให้โลล่า เงื่อนพวกนี้เคยทำเอาวุฒิสมาชิกน้ำตาร่วงมาแล้ว”
เอ็นโซกะพริบตา
ตอนนี้เธอกำลังทอดไข่อยู่
“ตอนนี้ยายถักนิตติ้ง” เธอเสริม ราวกับว่านั่นอธิบายได้ทุกอย่าง “แต่ยายก็ยังคอยสอดส่องดูแลยัยนั่นอยู่ ไม่เคยมีครอบครัวกับเขาเท่าไหร่ ยายก็เลยทำหน้าที่ของยายไป เอาขนมปังปิ้งไหม?”
เขาไม่ตอบ
แต่เธอก็ทำอยู่ดี
ไม่กี่นาทีต่อมา เธอกลับมาพร้อมกับจานไข่ดาวและขนมปังปิ้ง แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงข้างเขาพร้อมกับส่งเสียงในลำคอ
“แกต้องกิน” เธอบอก
“ผมถูกมัดอยู่นะครับ”
เธอจ่อส้อมที่ตักไข่มาเต็มคำตรงปากเขา “ก็ใช่น่ะสิ อ้าปาก”
เขาลั่งเล
แล้วก็อ้าปาก
ไข่มัน... อร่อย อร่อยแบบเหลือเชื่อ หอมมันเนย เข้มข้นด้วยรสเกลือกับพริกไทย เป็นอาหารปลอบใจชั้นดี
“ยายชื่อด็อตตี้” เธอบอก “โลล่าเรียกยายว่าบาบายาก้า ไม่ต้องถามว่าทำไมนะ ยัยนั่นบอกว่ายายดูใจดีแต่จริงๆ แล้วน่ากลัว ก็เถียงไม่ออกเหมือนกัน”
เอ็นโซเคี้ยวเงียบๆ ขณะที่เธอป้อนเขาอีกคำ
ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย
“ยัยนั่นเป็นเด็กดีนะ” ด็อตตี้พูดต่อ น้ำเสียงของเธออ่อนลง “ยายรับมาเลี้ยงตั้งแต่เก้าขวบ เป็นเด็กกำพร้า เคว้งคว้าง ฉลาดเป็นกรด มือไวกว่าผู้ชายตัวโตๆ ส่วนใหญ่เสียอีก ยายมองเห็นว่าโลกนี้จะทำอะไรกับเด็กผู้หญิงแบบนั้น ยายเลยตัดสินใจว่าจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น”
อีกคำ
“แต่รสนิยมเรื่องผู้ชายของยัยนั่นห่วยแตกชะมัด แฟนเก่าเธอน่ะเหรอ? ตัวแสบเลยล่ะ ยิ้มเหมือนเซลส์แมนขายรถมือสอง แถมยังโกหกเก่งเหมือนกันด้วย ทำให้ยัยนั่นรู้สึกว่าไว้ใจใครไม่ได้ ซึ่งสุดท้ายก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็ทำให้เธอดูเหมือนคนโง่หลังจากที่เขาทำให้เธอตัดขาดจากทุกคน แล้วพวกเด็กเวรสมัยนี้ก็ไม่ยอมฟังใครกันเลย”
เอ็นโซ่ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
ด็อตตี้จ้องเขม็ง ดวงตาหลังแว่นสองเลนส์คมกริบดุจใบมีดโกน ก่อนที่สายตาของเธอจะอ่อนลงเล็กน้อย
“พ่อหนุ่มเป็นคนแถวนี้รึเปล่า”
“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่”
“หืม ดูท่าทางแล้วไม่สะทกสะท้านเหมือนคนเจอปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เลยนะ”
เขาตัวแข็งทื่อ
เธอสังเกตเห็น
“ไม่ว่าพ่อหนุ่มจะเป็นใคร หรือเคยไปเจอเรื่องวุ่นวายอะไรมา แต่พอมาที่นี่ พ่อหนุ่มก็ก้าวเข้ามาเจออีกเรื่องแล้ว ระวังตัวไว้ให้ดีนะ พ่อคุณ พ่อหนุ่มอาจจะไม่รู้ว่าจะรับมือกับยัยนั่นยังไง แต่ยัยนั่นเจอคนทำเหมือนตัวเองเป็นแค่ความเสียหายข้างเคียงมามากพอแล้ว”
เธอส่งขนมปังปิ้งให้เขาชิ้นหนึ่ง
เขามองมันแวบหนึ่ง “แล้วผมจะ—”
“โอ๊ย ให้ตายสิ” เธอพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วหักขนมปังเป็นชิ้นๆ ป้อนเขาเหมือนเด็กน้อยงอแง “ทำท่าอย่างกับว่าจะกินเองไม่ได้อย่างนั้นแหละ ตัวก็ไม่ได้ขยับไม่ได้ขนาดนั้นซะหน่อย”
“ปกติผมไม่ค่อยโดนมัดแบบนี้”
ถ้าโดนล่ะก็ แสดงว่าเราซวยกันฉิบหายแล้ว
“ก็ดี” เธอบอก “บางทีก็ควรโดนดูบ้าง จะได้เป็นคนขึ้นมาหน่อย”
ด็อตตี้เช็ดมือกับเสื้อฮู้ดดี้ของเธอ แล้วเอนหลังพิงเสาหัวเตียง สายตายังคงจับจ้องเขาไม่วาง ราวกับเหยี่ยวกำลังประเมินหมาป่าไคโยตี้ที่หลงเข้ามาในเล้าไก่
“รู้อะไรไหม” เธอพูดช้าๆ “ท่าทางการพูดของพ่อหนุ่มไม่เหมือนคนที่ต้องคอยอธิบายอะไรให้ใครฟัง หรือต้องขออนุญาต หรือต้องคอยตอบคำถามใครเลย”
เอ็นโซ่ไม่ตอบ เขาแค่จ้องเธอกลับด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
ยายแก่คนนี้ช่างมีสัญชาตญาณเฉียบแหลมจริงๆ
“ยายเคยเห็นสายตาแบบนี้มาก่อน” เธอพูดต่อ “พวกผู้ชายที่เดินเข้ามาในร้านของยายแล้วคิดว่าโลกทั้งใบเป็นของตัวเอง ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยกะพริบตา เป็นพวกช่างคิดช่างคำนวณ เป็นพวกที่มาจากครอบครัวรวยๆ ไม่ก็มาจากสงคราม หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง”
เฉียบแหลมจริงๆ นั่นแหละ
เธอหรี่ตามองเขา “แล้วตกลงว่าเป็นแบบไหนล่ะ พ่อหนุ่ม? เป็นพวกมีแผลใจ? หรือเป็นพวกอันตราย?”
เขาเอียงคอเล็กน้อย ริมฝีปากโค้งขึ้นจางๆ อย่างไร้แววขบขัน “เป็นทั้งสองอย่างไม่ได้เหรอครับ”
ด็อตตี้หัวเราะลั่นแล้วตบไหล่เขาเหมือนเป็นเพื่อนซี้ร่วมวงเหล้า “โอ๊ย ยายชอบพ่อหนุ่มแล้วสิ”
เขาไม่สะดุ้งที่โดนสัมผัส แต่ก็ไม่ได้ยิ้มตอบ เขาเพียงแค่สังเกตการณ์ เก็บข้อมูลทุกอย่าง ทั้งการเคลื่อนไหว น้ำเสียง และจังหวะของเธอ เหมือนกับที่เขากำลังสำรวจและจดจำทุกซอกทุกมุมของคุกที่ชุ่มโชกไปด้วยกากเพชรแห่งนี้
เธอหรี่ตามองอีกครั้ง “แต่ก็นั่นแหละ ที่ยายไม่เข้าใจ พ่อหนุ่มดูไม่กลัวเลย ผู้ชายส่วนใหญ่ถ้าโดนมัดติดกับเตียงของคนแปลกหน้าคงจะเหงื่อแตกพลั่ก กรีดร้องขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็พยายามแทะเชือกให้ขาดไปแล้ว แต่พ่อหนุ่มน่ะเหรอ? นั่งเงียบๆ คอยสังเกต เหมือนคนที่กำลังตัดสินใจว่าจะเผาตึกนี้ทิ้ง หรือจะยึดมาทำเป็นฐานทัพใหม่ของตัวเองดี”
มุมปากของเอ็นโซ่กระตุกขึ้นเล็กน้อย “บางทีผมอาจจะแค่เป็นคนสุภาพก็ได้ครับ”
เธอพ่นลมหายใจพรืด “จ้ะๆ ถ้างั้นยายก็ยังซิงอยู่ล่ะ”
เธอส่งเสียงครางแล้วลุกขึ้นยืน ปัดเศษขนมปังออกจากกางเกง แล้วก้มลงมองเขาอีกครั้ง
“ไม่ว่าอะไรพัดพาพ่อหนุ่มมาที่นี่ ยายก็หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่จะลากเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้ยัยนั่นนะ โลล่าเป็นคนจิตใจดีนะ หัวใจดีมากๆ ด้วย แต่ถูกฝังอยู่ใต้ลวดหนามหนาเตอะที่มากพอจะทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่กลัวจนหนีไปหมด”
เอ็นโซ่ไม่ตอบ
“จะบอกให้ว่ายัยนั่นไม่ใช่คนบอบบางนะ ร้ายกว่าที่เห็นเยอะ แถมยังชอบกัดด้วย แต่ที่ต้องเป็นแบบนั้นก็เพราะจำเป็น ชีวิตไม่เคยหยิบยื่นอะไรง่ายๆ ให้ยัยนั่นเลย”
ด็อตตี้เดินไปที่ห้องครัว กลับมาพร้อมน้ำเปล่าแก้วสูง แล้วค่อยๆ ประคองมาจ่อที่ริมฝีปากเขา เอ็นโซ่ดื่มน้ำ สายตาจ้องมองเธอข้ามขอบแก้ว
“มีชื่อรึเปล่า พ่อหนุ่มลึกลับ”
เขาเลิกคิ้ว “มันสำคัญด้วยเหรอครับ”
ด็อตตี้แสยะยิ้ม “ก็ไม่หรอก นอกซะจากว่ายายต้องเป็นคนเขียนข่าวมรณกรรมให้พ่อน่ะสิ”
เธอหันไปหยิบกุญแจที่แขวนอยู่ข้างประตู
“ต้องการอะไรอีกไหมก่อนยายจะไป”
“อิสรภาพ”
เธอขยิบตา “ลองใหม่สิ”
เขาถอนหายใจ “ไม่ครับ”
“ถ้างั้นก็ตามนั้น” เธอพูดข้ามไหล่ขณะเปิดประตู “ถ้าตอนโลล่ากลับมาแล้วพ่อหนุ่มยังอยู่ ก็พยายามอย่าฆ่ายัยนั่นล่ะ ยายค่อนข้างจะเอ็นดูยัยนั่นอยู่”
เธอเดินออกไปที่โถงทางเดิน แล้วโผล่หน้ากลับเข้ามาเป็นครั้งสุดท้าย
“อ้อ—แล้วก็ มื้อเย็นยายจะทำสตูนะ ถ้าถึงตอนนั้นยังโดนมัดอยู่ เดี๋ยวจะเอามาให้ชามนึง”
แล้วเธอก็จากไป ประตูปิดลง เสียงล็อกดังคลิก
เอ็นโซ่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางแสงสีอำพันสลัวๆ จากไฟประดับและม่านแดดจางๆ เขาฟังเสียงฮัมเบาๆ ของตู้เย็น เสียงการจราจรที่ดังแว่วมาจากเบื้องล่าง…
…และเสียงติ๊กๆ ของความอดทนที่กำลังจะขาดสะบั้นลง
เธอเป็นใครกันแน่วะ โลล่า
แล้วทำไมกูถึงรู้สึกเหมือนเพิ่งจะโดน… ตีตราจองวะ
