บทที่ 10 ไม่สบายใจ

หลังจากวันนั้นยายของรสิตาก็เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง และกลางดึกของคืนหนึ่งเธอก็ต้องพายายของเธอไปโรงบาลแบบเร่งด่วนเพราะยายของเธอมีอาการเจ็บหน้าอก และเหนื่อยเพลียอย่างต่อเนื่อง ผลการวินิจฉัยของหมอในครั้งนี้สรุปว่ายายของเธอเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แม้จะกังวลแต่รสิตาก็ทำตามที่หมอแนะนำคือต้องรักษาโดยการผ่าตัด

หลังผ่าตัดได้สองวันอาการของหญิงชราก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับ รสิตายังเทียวไปเทียวมาระหว่างคาสิโนและโรงพยาบาลเพื่อดูแลยายของเธอ

“นายครับ ผมเจอคนไข้คนนึงนามสกุลเดียวกับนังตำรวจคนนั้น...ครับนาย...ผมจะรีบจัดการให้ครับ”

ขณะที่รสิตากำลังเดินผ่านตรงที่บุรุษพยาบาลคนหนึ่ง นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ เธอก็ได้ยินบทสนทนานั้นโดยบังเอิญ จึงรีบก้มหน้าลงแล้วเดินผ่านไป

“คุณหมอคะ ถ้าฉันจะขอย้ายโรงพยาบาลได้มั้ย” รสิตารีบเข้าพบหมอที่เป็นเจ้าของไข้ของหญิงชราทันที

“แล้วแต่ความประสงค์ของญาติเลยค่ะ” หมอพูดขณะที่ดูแฟ้มประวัติของคนไข้ “แต่หมอแนะนำว่าให้ยืดเวลาออกไปก่อน เพราะตอนนี้คนไข้ยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนย้ายเพราะเพิ่งได้รับการผ่าตัดมาใหม่ๆ”

“แต่ฉันจำเป็นจริงๆ นะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นหมอแนะนำให้ญาติติดต่อโรงพยาบาลที่จะพาคนไข้ไปรักษาก่อนนะคะ และก็พูดคุยเรื่องการเคลื่อนย้ายคนไข้ด้วย คงจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร”

“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”

หลังจากออกจากโรงพยาบาลรสิตาก็กลับไปทำงานตามปกติ ท่าทางเหม่อลอยของเธอทำให้เอมิกาสังเกตเห็น

“เป็นอะไร วันนี้ก็เหม่อลอยอีกแล้ว” เอมิกาถามด้วยความเป็นห่วง

“มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ”

“เรื่องเจ้านายเหรอ” เอมิกาก็ยังคิดว่าเป็นเพราะรณกร

“เปล่าค่ะ เรื่องยาย”

“อ้าว ยายเป็นอะไรเหรอ”

“พอดียายเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดค่ะ ตอนนี้อาการก็ดีขึ้นแล้ว”

“แล้วไม่สบายใจเรื่องอะไรอีก”

“หนูอยากย้ายโรงพยาบาลให้ยาย เอาที่แบบมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีนะคะ พี่เฟิร์สรู้จักบ้างมั้ย”

“เดี๋ยวนะพี่ขอนึกดูก่อน” เอมิกาทำท่าครุ่นคิด รสิตาก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ “นึกออกแล้ว พอดีมีพี่ที่รู้จักทำงานอยู่ แต่ราคาสูงมากนะ เพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับต้นๆ ของกรุงเทพเลย” เอมิกาไม่รู้ว่ารสิตาจะไหวไหม แต่เธอก็แนะนำไว้เป็นทางเลือกให้รสิตา

“ขอที่อยู่ให้หนูหน่อยได้มั้ย หนูจะลองไปสอบถามดู” ถึงแม้ว่าจะแพงแต่ถ้ามันปลอดภัยเธอก็จำเป็นต้องย้าย

“ได้สิ”

ณ อาคารร้างย่านชานเมืองเสียงปืนที่เพิ่งสงบลงทำให้คนที่ใช้ผนังอาคารเป็นที่กำบังอยู่ต้องลดปืนลง

“ออกมา!!! กูบอกให้ออกมา”

“ขอโทษครับ ไว้ชีวิตผมด้วยครับ”

“เข้ามาใกล้ ๆ สิ” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่คนฟังกลับรู้สึกหวาดกลัวกับความเรียบนิ่งนี้

“ครับ ๆ” ชายหนุ่มรีบคลานเข้าไปหาคนเรียกทันที

“ฝากไปบอกนายของมึงด้วยว่าถ้ายังไม่หยุดลอบกัด กูจะไปถล่มถึงรัง” มาเฟียหนุ่มหน้าเหี้ยมจนชายหนุ่มรู้สึกกลัว “อ้อ แล้วฝากบอกด้วยว่าข้อตกลงทุกข้อเป็นโมฆะ”

ช่วงนี้เขาไม่มีเวลาได้เข้าไปตรวจความเรียบร้อยในบ่อน เพราะเขาต้องคอยเก็บกวาดเช็ดล้างปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงสนธิสัญญาที่พ่อของเขาได้ทำไว้กับแก๊งเสือดำตั้งแต่เขาเป็นเด็ก แก๊งเสือดำเป็นแก๊งที่เป็นคู่ปรับตลอดกาลของแก๊งมังกรขาวของเขา

ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ต่างคนต่างอยู่กันมาพักใหญ่ จนมาช่วงหลังๆ ที่หัวหน้าแก๊งเสือดำ แต่งตั้งหัวหน้าคนใหม่ขึ้นมาแทนซึ่งก็เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั่นเอง หัวหน้าแก๊งเสือดำคนใหม่จึงเริ่มเหิมเกริมกับณรกร คอยส่งลูกน้องมาตลบหลังเขาอยู่หลายครั้ง จนตอนนี้เขาหมดความอดทน

“ไม่ต้องตาม” รณกรยกมือห้ามเมื่อเห็นว่าลูกน้องกำลังจะตามคนที่เขาเพิ่งปล่อยไป

“นายจะปล่อยมันไปจริง ๆ เหรอครับ” สมภพถาม

“อืม”

“งั้นกลับกันเลยมั้ยครับ” เอกสิทธิ์ถามหลังจากที่ใช้บดินทร์ไปเตรียมรถ

รณกรหันไปพยักหน้าให้ลูกน้อง

รถเคลื่อนตัวมาจอดทางด้านหน้าของคาสิโน วันนี้รณกรเลือกที่จะใช้เส้นทางด้านหน้าของร้าน ขณะเดินเข้าไปก็ผ่านผู้คนและโต๊ะต่างๆ เขากวาดสายตามองไปทั่วก็ไม่พบหน้าหญิงสาวที่เขาไม่ได้เจอมาหลายวันแล้ว

รณกรจึงเดินขึ้นไป ก่อนจะจับราวแล้วมองลงมาอีกครั้ง

“นายหาใครอยู่ครับ”

“เปล่า”

“ผมคิดว่ามองหาน้องสาว” เพราะหลายวันก่อนบดินทร์ได้เล่าให้สมภพฟังว่ารณกรเรียกหารสิตา วันนี้เขาเลยคิดว่ารณกรมองหารสิตา

“นั่นน้องสาวแกเหรอ” รณกรเหล่มอง

“มะ...ไม่ใช่ครับ”

“แล้วไปเป็นน้องสาวแกตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็อายุน้อยกว่าผม ผมก็ต้องเรียกน้องสาวสิครับ แถมเธอก็เรียกผมว่าพี่”

“ไอ้ภพ มึงอยากตายหรือไง มึงดูหน้านายก่อน” เอกสิทธิ์กระซิบเตือนสมภพ

สมภพรีบก้มหน้าลงทันที เมื่อเห็นสายตาพิฆาตของรณกรที่มองมา

บทก่อนหน้า
บทถัดไป