บทที่ 2 ตอนที่ 1 ชีคเอาแต่ใจ (1)
ตอนที่ 1
ชีคเอาแต่ใจ
ดวงตากลมโตกระพริบๆ ปริบพลางกวาดมองภายในเครื่องบินส่วนตัวลำหรู ที่ทางท่านชีคส่งมารับเธอไปที่รัฐคูเวอร์ หลังจากที่เมื่อหลายเดือนก่อนเธอตอบรับที่จะย้ายไปประจำโรงพยาบาลแห่งใหม่ของคูเวอร์ ที่เจ้าของก็คือคนเดียวกันกับหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนที่เธอเป็นหมอประจำอยู่ เมื่อทางท่านชีคซาลซาเอลระบุมาว่าต้องการให้เธอไปที่นั่น และเมื่อเห็นว่าเป็นโอกาศที่ดีเธอจึงไม่ปฏิเสธแม้จะคิดภาพเอาไว้ในหัวว่าประเทศเล็กๆ กลางทะเลทรายมันอาจจะยังไม่ทันสมัยบ้านเมืองยังล้าหลัง แต่พอเห็นเครื่องบินส่วนตัวที่ภายในเคบินตกแต่งเอาไว้อย่างสวยหรู มีเลาจ์ส่วนตัว มีจอดิสเพลย์ติดผนัง มีห้องนอนและห้องสังสรรค์ เรียกได้ว่ามีทุกห้องครบชุดอย่างบ้านเศรษฐีหลังหนึ่งควรจะมีกันเลยทีเดียว
“เราต้องใช้เวลาเดินทางอีกหลายสิบชั่วโมงด้วยกัน ยังไงเชิญคุณหมอดูหนังฟังเพลงฆ่าเวลาได้ตามสบายนะครับ ต้องการอะไรเพิ่มเติมเรียกผมหรือพนักงานบริการของเราได้ แต่ถ้าจะผักผ่อนห้องนอนห้องที่สองที่ผมพาเดินไปดูเมื่อครู่ผมเปิดเอาไว้ให้แล้ว ส่วนตอนนี้ผมขอตัวนะครับ”
ชายคนที่แนะนำตัวก่อนหน้านั้นไม่นานว่าชื่ออิสลัม เป็นคนสนิทของชีคซาลซาเอลค้อมศีรษะให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะผละออกไปปล่อยให้เธอยืนคว้างอยู่ท่ามกลางความหรูหราเพียงลำพังอยู่พักใหญ่ ก่อนเธอจะตัดสินใจนั่งดูหนังตรงเลาจ์ส่วนตัว แต่ด้วยความเป็นคนที่ไม่ค่อยจะชื่นชอบการดูหนังสักเท่าไหร่ อุรัสยาจึงเปลี่ยนใจเข้าไปนอนอ่านหนังสือที่เตรียมเอามาไว้อ่านแก้เหงาในห้องนอนหรูหราราวไม่ต่างกับโรงแรมระดับห้าดาว และด้วยความเหนื่อยและเพลียที่ต้องเร่งเคลียร์งานให้เสร็จ เพื่อที่คุณหมอที่มารับช่วงต่อจะได้ทำงานง่ายขึ้นอ่านไปไม่ถึงครึ่งเล่มหญิงสาวก็เผลอหลับไป และหลับไม่นานเท่าไหร่ไม่รู้รู้เพียงว่าระหว่างการเดินทางนั้นเธอจำได้ว่ารู้สึกตัวตื่นมาแค่ครั้งเดียว ก่อนจะฟุบหลับไปอีกครั้ง คราวนี้ก็หลับยาว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พนักงานสาวคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในชุดมิดชิดอย่างหญิงอาหรับทั่วไปมาปลุก
“ถึงแล้วเหรอคะ”
ถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางขยี้ตาอย่างคนที่ตื่นยังไม่เต็มตานัก จากนั้นก็ใช้มือตบแก้มตัวเองเบาๆ ไล่ความงุนง่วง
“ใกล้แล้วค่ะ อีกยี่สิบนาทีเครื่องจะลงจอดที่สนามบินส่วนตัวของท่านชีค ดิฉันเลยมาปลุกเพื่อให้คุณหมอได้เตรียมตัวน่ะค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
อุรัสยาบอกพลางส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเผลอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู และเพิ่งนึกได้ว่าเวลาที่ไทยกับที่นี่ต่างกันจึงถามเวลาจากพนักงานสาว ก่อนจะปรับให้มันตรงกับเวลาท้องถิ่น และเมื่อพนักงานสาวผละออกไป หญิงสาวลงจากเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำที่ต้องบอกคำเดียวว่าหรูหราจนไม่อยากจะใช้ ก่อนจะล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แล้วจึงได้เดินออกมาที่บริเวณเลาจ์ส่วนตัวก็พบว่าอิสลัมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษทีนะคะ ที่ฉันนอนเพลินไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ กาแฟหน่อยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วนี่เครื่องจะลงแล้วใช่ไหมคะ อย่างนี้ฉันต้องเอาผ้ามาคลุมศีรษะก่อนลงแล้วสิ”
บอกพลางค้นกระเป๋าสะพายส่วนตัวเพื่อหาผ้าคลุมผมที่เธอไปหาซื้อจัดเตรียมไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“ไม่ต้องก็ได้ครับ เพราะที่นี่ไม่เคร่งครัดกับชาวต่างชาติสักเท่าไหร่ จะคลุมหรือไม่คลุมเราก็ไม่ว่า”
อิสลัมอธิบาย แต่ดูเหมือนคุณหมอสาวอยากจะลองคลุมศีรษะให้เหมือนกับชาวคูเวอร์มากกว่า
“แต่ฉันว่าฉันคลุมดีกว่านะคะ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เดี๋ยวจะเป็นจุดเด่นจนเกินไปหรืออาจโดนเขม่นเอาได้ และอีกอย่างฉันอุตส่าห์ไปหาซื้อผ้าคลุมลายสวยๆ มาแล้วด้วย”
ว่าแล้วหญิงสาวก็จัดแจงเอาฮิญาบ คลุมลงบศีรษะอย่างที่ไปหัดมาจากเพื่อนชาวอิสลาม เมื่อเรียบร้อยก็หันมาส่งยิ้มเขินๆ ให้กับอิสลัม ที่นั่งมองยิ้มๆ
“พอได้ไหมคะ”
เธอถามอย่างเก้อเขินเพราะไม่เคยเลยรู้สึกแปลกๆ ว่าพอผมถูกแทนที่ด้วยผ้าหน้าเธอจะใหญ่ไปไหม
“เหมาะเลยครับ…ไปครับเครื่องลงจอดแล้ว ก่อนอื่นเราต้องไปพบท่านชีคซาลซาเอลก่อน เสร็จแล้วผมถึงจะไปส่งคุณหมอที่บ้านพัก จะได้พักผ่อนเสียทีเดินทางติดต่อกันมาหลายสิบชั่วโมงคุณหมอคงเหนื่อย”
“ก็นิดหน่อยค่ะ คุณก็น่าจะเห็นว่าฉันหลับมาตลอดการเดินทาง”
ถึงจะบอกอย่างนั้นก็เถอะ แต่พอลงจากเครื่องแล้วขึ้นมานั่งบนรถที่มารอรับ อุรัสยาก็อดที่จะบีบนวดต้นคอและทุบไหล่ของตัวเองเพื่อบรรเทาความปวดเมื่อยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีบ่นเล็ดลอดออกมาให้คนร่วมเดินทางอย่างอิสลัมได้ยิน และยิ่งไปกว่านั้นพอชายหนุ่มถามว่าเหนื่อยไหมทีไร สิ่งที่ตอบกลับมาคือการส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ซึ่งก็ทำให้คนสนิทของท่านชีครู้สึกชื่นชมหญิงสาวอยู่ในใจว่า ถึงเธอจะดูตัวเล็กบอบบางแต่แรงอึดถือว่าใช้ได้ทีเดียว นับว่าชีคของเขาตาแหลมตามเคย
