บทที่ 2 นอนหลับอยู่ดี ๆ ตื่นมาอีกทีก็??

เว่ยจื้อโหยวนอนฟังในสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันด้วยความไม่เข้าใจ อะไรคือให้แต่งออกไปแล้วที่ให้แต่งออกไปใช่ตัวเธอหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอนี่ไม่ใช่ว่าเธอตายไปแล้วหรือ หรือว่าเครื่องบินไม่ได้ตก หรือว่านี่เป็นความฝัน แต่ไม่น่าจะใช่ความฝันแล้วล่ะในเมื่อความจริงตีแสกหน้าเธอขนาดนี้

เว่ยจื้อโหยวถอนหายใจยอมรับชะตากรรมของตัวเอง แทนที่จะได้เข้าไปทำงานในหน่วยลับกลับต้องมาตายตั้งแต่เดินทาง ตายไปแล้วไม่พอแทนที่จะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ก็ลงนรกตามแต่ผลกรรมของการกระทำที่ผ่านมา

แต่พระเจ้ากลับเล่นตลกอะไรกับเธอกันส่งเธอมายังโลกโบราณล้าหลังที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์โลกไม่พอ พอฟื้นขึ้นมาก็พบเจอแต่เรื่องน่าอดสู ครอบครัวยากจนแร้นแค้น ย่าแท้ ๆ ใจดำอำมหิตยังดีที่พ่อแม่ของร่างเดิมนั้นรักลูกและทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ลูกโดนขายไป

แต่ว่าต่อจากนี้ล่ะจะทำยังไง ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ต้องมีพวกเศรษฐีมีเงินลุ่มหลงในตัณหาบ้ากามโดยไม่สนใจว่าใครจะยิมยอมพร้อมใจหรือไม่ มันน่าจับมาตัดให้เป็ดกินนัก

เว่ยจื้อโหยวนึกโมโหร่างเดิมจะทำตัวอ่อนแอกตัญญูไปทำไมนักหนา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีพละกำลังมากกว่าคนอื่นตั้งเท่าไหร่ จะเก็บงำความสามารถของตัวเองไปเพื่ออะไรกัน ไม่เห็นจะต้องอับอายผู้คนเลยสักนิดหากใครจะคิดว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด หากเป็นเธอแล้วล่ะก็จะอัดให้ฟันร่วงเลยพวกที่ชอบบูลลี่คนอื่น

เว่ยจื้อโหยวนอนฟังพ่อแม่ ตายายและลุงใหญ่ป้าสะใภ้ใหญ่อันเป็นครอบครัวของเธอในโลกใบนี้คุยกันเพื่อหาทางออกของปัญหาในครั้งนี้จนเธอหลับไปอีกครั้ง

“ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ ข้ามองไม่เห็นหนทางที่จะช่วยอาโหยวเลย หากยังไม่หาบ้านสามีให้นางแต่งออกไปแล้วล่ะก็ข้าเกรงว่าบ้านใหญ่คงไม่จบเพียงเท่านี้แน่ อีกอย่างเศรษฐีเฒ่านั่นคงไม่ยอมรามือง่าย ๆ เจ้าค่ะ” นางเหลียนซื่อพูดออกมาด้วยความทุกข์ใจ

“นั่นสิขอรับท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย หนทางเดียวคือต้องหาบ้านสามีให้อาโหยวแต่งออกไปถึงแม้ใจข้าจะไม่ยินยอมก็ตามที แต่มันยังดีกว่าให้อาโหยวต้องตกนรกไปทั้งชีวิต ท่านพ่อตาท่านแม่ยายเห็นว่ามีครอบครัวใดที่เหมาะสมหรือไม่ขอรับ ขอแค่เป็นคนดี ขยันทำมาหากินข้ากับเหมยชิงก็ไม่ขัดข้องขอรับ” เจี้ยนป๋อ

“จะบอกว่ามีมันก็มีอยู่หรอกนะลูกเขย เจ้าหนุ่มอวิ๋นเซียวเป็นคนดี พ่อแม่ตายไปหมดแล้ว เหลือแค่เจ้าหนุ่มนั่นและน้องชายน้องสาว พ่อหนุ่มนี่เป็นคนดีขยันขันแข็งเพียงแต่ว่าญาติพี่น้องของพ่อแม่นิสัยไม่ดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะนางจางซื่อป้าสะใภ้ใหญ่ที่ชอบกดขี่ข่มเหงหลานชายหลานสาวทั้ง ๆ ที่พวกเขาแยกบ้านออกมาแล้วหลังเสียพ่อแม่ อย่าเรียกว่าแยกบ้านเลยต้องเรียกว่าไล่ออกมาจะดีกว่า ยังดีที่มีที่ดินสินเดิมของมารดาเจ้าหนุ่มนั่นอยู่ 3 หมู่ จึงได้มาปลูกบ้านอาศัยอยู่กับน้อง ๆ แต่ยังไม่วายคนบ้านใหญ่มักมาหยิบเอาข้าวของในบ้านไปบ่อยครั้งเวลาที่เจ้าหนุ่มไม่อยู่บ้านออกไปล่าสัตว์ หากให้อาโหยวแต่งเข้าไปแล้วจะรับมือกับคนพวกนี้ได้หรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องที่พวกเจ้าต้องคิดและตัดสินใจให้ดี หากตกลงกันได้แล้วพรุ่งนี้แม่กับตาเฒ่าจะไปพูดจากับเจ้าหนุ่มนั่นให้เอง” แม่เฒ่าเหลียน

“ท่านแม่ยายขอรับ หากเขาเป็นคนดีก็ย่อมไม่มีปัญหา หากบ้านนั้นรังแกอาโหยวทั้งที่แยกบ้านออกมาแล้ว ข้าเองก็พร้อมที่จะสนับสนุนนางขอรับ อาโหยวไม่ได้ไร้ญาติขาดมิตรนางยังมีบ้านเดิมคอยสนับสนุน” เจี้ยนป๋อ

“ข้าเห็นด้วยกับท่านพี่เจ้าค่ะท่านแม่” นางเหลียนซื่อ

“เช่นนั้นพวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถอะ อดทนอยู่แบบนี้ไปก่อนค่อยหาทางขยับขยายอย่าไปคิดอะไรมาก พวกเจ้าออกมาแล้วถือว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าก็อยากจะรอดูน้ำหน้านังเฒ่าเซียนซื่อจริง ๆ แก่แล้วแก่เลยเลอะเลือน หากหลานชายไม่ได้เป็นขุนนางขึ้นมาข้าจะรอดูว่านางเฒ่านั่นจะเป็นยังไง” แม่เฒ่าเหลียนเอ่ยออกมาด้วยความโมโห

เช้าวันต่อมาแม่เฒ่าเหลียนตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง นางรีบเดินออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ติดชายป่าเชิงเขาเพื่อพูดคุยเรื่องระหว่างหลานสาวของนางและเจ้าหนุ่มอวิ๋นเซียว เมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านนางจึงส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้านอยู่ด้านนอกรั้วไม้ไผ่

“อาเซียว อาเซียวเจ้าอยู่บ้านหรือไม่” แม่เฒ่าเหลียนที่นางต้องถามแบบนี้เพราะไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มออกไปล่าสัตว์แล้วนอนค้างในป่าหรือไม่

“อยู่ขอรับ ท่านยายเหลียนท่านมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ หรือต้องการให้ข้าช่วยเหลือเรื่องอันใด” อวิ๋นเซียว

“ยายมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดคุยกับเจ้า ขอยายเข้าไปในบ้านก่อนได้หรือไม่”

“ขอรับ เช่นนั้นเชิญด้านในขอรับ”

เมื่อเข้ามาในบ้านแม่เฒ่าเหลียนก็พูดออกมาโดยไม่มีการอ้อมค้อมใด ๆ ทั้งสิ้น ด้วยที่ผ่านมานางเป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมาอยู่แล้วคิดอย่างไรก็พูดออกไปเช่นนั้น

“ที่ยายมาวันนี้ ยายมีเรื่องอยากจะถามเจ้าสักหน่อย”

“เรื่องอะไรหรือขอรับถึงทำให้ท่านยายมาหาข้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเช่นนี้”

“อาเซียวเจ้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง ก่อนพ่อแม่ของเจ้าจะเสียไปพวกเขาได้ทาบทามหญิงสาวบ้านใดเอาไว้ให้เจ้าหรือไม่”

“ไม่มีขอรับท่านยาย ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่ทันได้พูดคุยหรือทาบทามคู่หมายให้ข้าหรอกขอรับ ว่าแต่ท่านยายถามทำไมหรือขอรับ”

“ยายพูดตรง ๆ เลยแล้วกันที่ยายมาหาเจ้าวันนี้ ยายอยากให้เจ้าแต่งหลานสาวยายมาเป็นภรรยา เจ้าจะว่าอย่างไร”

“ทำไมถึงเป็นข้าล่ะขอรับ แล้วหลานสาวท่านยายจะยินยอมหรือขอรับ ข้าเองก็ยากจนไหนจะเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวที่ยังเล็กอีก 2 คน นางจะมาทนลำบากกับข้าได้หรือขอรับ”

“อาโหยวหลานยายเป็นคนดี ยายจะไม่ปิดบังเจ้าหากเจ้าไม่ยินดีแต่งนางก็ไม่เป็นไร อาโหยวหลานยายนั้นหน้าตาสะสวยจนต้องไปต้องตาต้องใจเศรษฐีเฒ่าแต่ตัวนางไม่ยินยอม พ่อแม่นางเองก็มีปากเสียงกับบ้านใหญ่ จนต้องแยกตัวตัดขาดออกมาและย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ แต่พวกเรากลัวว่าฝั่งนั้นมีทั้งเงินและอำนาจจะไม่ยอมรามือง่าย ๆ หากนางยังไม่ตบแต่งให้แก่ชายอื่น ยายเองเห็นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ เจ้าเป็นคนดีมาก ยายจึงได้บากหน้ามาหาเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไรยายไม่บังคับใจเจ้า”

“หากนางเต็มใจข้าก็ไม่ว่าอันใดขอรับ ข้าเองก็กลัวว่าหากมีการเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นทหารตามที่หัวหน้าหมู่บ้านบอกเอาไว้ ข้าเองไม่มีเงิน 10 ตำลึงทองจ่ายให้กับทางการก็คงต้องไปเป็นทหาร น้องสองคนยังเล็กนักข้าเองก็อับจนหนทางเช่นเดียวกัน อย่างที่ท่านยายรู้ พวกบ้านใหญ่นั้นหาดีไม่ได้ ทรัพย์สินของท่านพ่อท่านแม่พวกเขาก็ยึดเอาไปจนหมดข้าเองก็เหนื่อยใจ ตอนข้าอยู่ไม่เท่าไหร่หากข้าไม่อยู่พวกเขาก็จะคอยมารังแกน้อง ๆ ของข้า และหยิบฉวยเอาข้าวของในบ้านไปจนหมด หากข้าแต่งภรรยาเข้ามาคงมีคนคอยดูแลน้อง ๆ ของข้า แต่นางจะยินยอมมาลำบากกับข้าหรือขอรับ”

“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อาโหยวเป็นคนดีมาก นางย่อมยินยอมตบแต่งเป็นภรรยาของเจ้าดีกว่าไปตกนรกในบ้านเศรษฐีเฒ่าผู้นั้น เช่นนั้นก็เอาตามนี้ เจ้าเองก็ไปสู่ขอนางได้เลย เอาล่ะยายออกมานานแล้วยายขอตัวกลับก่อนเจ้าสะดวกวันไหนก็ไปพูดคุยตกลงกันได้ ส่วนสินสอดนั้นยายไม่ต้องการ เจ้าจะให้หรือไม่ให้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยายหวังว่าเจ้าจะรักและดูแลนางอย่างดีก็พอ”

“ขอรับท่านยาย ข้าขอบคุณท่านยายที่เมตตาขอรับ”

แม่เฒ่าเหลียนกลับถึงบ้านก่อนเวลาอาหารเช้านิดหน่อย ทุกคนในครอบครัวมองมาที่นางอย่างมีความหวัง เพราะทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้ที่แม่เฒ่าเหลียนออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้านั้นด้วยเรื่องอะไร

“ท่านแม่สำเร็จหรือไม่เจ้าคะ” นางเหลียนซื่อถามมารดาออกมาด้วยความร้อนรน

“อืม อาเซียวตกลงแล้ว เหลือเพียงแค่ให้เขามาพูดจาสู่ขอส่วนสินสอดนั้นแล้วแต่เขาจะหามา จะมีหรือไม่มีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เราก็แค่หาสินเดิมให้อาโหยวติดตัวไปบ้างข้าเชื่อว่าอาเซียวจะดูแลอาโหยวเป็นอย่างดี”

“เป็นเช่นนี้ข้าก็โล่งใจเจ้าค่ะ เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าจะพูดคุยกับลูกวันนี้ ข้าเชื่อว่าอาโหยวจะเต็มใจและไม่คัดค้านเจ้าค่ะ”

“เอาเถอะ แม่เชื่อว่าอาโหยวต้องเข้าใจ นี่เป็นทางออกทางเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้”

“เจ้าค่ะท่านแม่”

เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นมาในปลายยามอู่ ตอนนี้นางรู้สึกหิวเป็นอย่างมากไหน ๆ ก็มาอยู่ในร่างนี้แล้วกลับไปก็กลับไปไม่ได้แล้ว จากเด็กกำพร้าไม่มีครอบครัว นางเองก็อยากมีครอบครัวดูสักครั้ง พ่อแม่และทุกคนรักใคร่เจ้าของร่างเดิมเป็นอย่างมาก

ถึงนางจะรู้สึกผิดที่มาสวมรอยเป็นลูกสาวและหลานสาวของพวกเขา ยังดีกว่าให้พวกเขาเสียใจที่ได้รับรู้ว่าเว่ยจื้อโหยวที่เป็นลูกสาวและหลานสาวของพวกเขานั้นได้ตกตายไปตั้งแต่โดนคนบ้านเว่ยรุมทุบตีแล้ว

“อาโหยว ตื่นแล้วหรือลูก เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่ แม่เอาข้าวต้มกับยามาให้เจ้า ลุกขึ้นมากินเสียจะได้หายเร็ว แม่มีเรื่องจะบอกกล่าวกับเจ้าด้วย”

“เจ้าค่ะท่านแม่”

“เจ้ากินข้าวให้อิ่มกินยาเสร็จแล้วแม่กับพ่อค่อยพูดคุยกับเจ้า”

หลังจากรอให้ลูกสาวกินข้าวกินยาเสร็จพอดีกับสามีของนางเดินเข้ามาเพื่อพูดคุยเรื่องแต่งงานของลูกสาว เจี้ยนป๋อเองในใจก็กลัวว่าลูกสาวจะไม่ยินยอมและต่อต้านแต่เขาเองก็ไม่มีทางเลือกด้วยเงินทองในมือก็ไม่มี เงินที่หามาได้นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในมือมารดาของเขาทั้งสิ้น

“อาโหยวลูกรู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่ พ่อขอโทษนะที่ปกป้องเจ้าไม่ได้”

“ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อเจ้าค่ะ อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย หากจะมีคนผิดก็เป็นท่านย่ากับคนบ้านใหญ่เจ้าค่ะ”

“พ่อกับแม่มีเรื่องจะบอกกล่าวกับเจ้า หวังว่าเจ้าจะเข้าใจพ่อกับแม่เองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเพื่อช่วยเหลือให้เจ้ารอดพ้นจากคนชั่วช้าพวกนั้น พ่อจำเป็นจะต้องให้เจ้าแต่งออกไป”

“ห๊ะ แต่งออกไป แต่งงาน แต่งกับผู้ใดหรือเจ้าคะ ทำไมรวดเร็วถึงเพียงนี้”

“แต่งกับเจ้าหนุ่มอวิ๋นเซียว เรื่องนี้ท่านยายของเจ้าเป็นคนจัดการ เขาเป็นคนดีเพียงแต่ว่ายากจนและมีน้องชายน้องสาวยังเล็กให้ดูแล ไม่มีพ่อแม่สามีอยู่เหนือเจ้า พ่อกับแม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความสุขในชีวิตวันข้างหน้า เจ้าเองเป็นคนขยันอาเซียวเองก็เช่นกัน อย่างน้อย ๆ ก็เป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นไปได้ พ่อกับแม่เชื่อว่าบ้านใหญ่ไม่ยอมรามือ”

“เจ้าค่ะ ลูกเข้าใจในเมื่อท่านพ่อท่านแม่เห็นว่าดีลูกเองก็ไม่ขัดข้อง”

“เช่นนั้นเจ้านอนพักเสีย พ่อจะเข้าป่ากับลุงใหญ่ของเจ้าเผื่อจะได้อะไรติดไม้ติดมือมาขายบ้าง”

“เจ้าค่ะ”

หลังจากท่านพ่อกับท่านแม่ออกไปแล้ว เว่ยจื้อโหยวได้แต่พูดกับตัวเองว่า “อะไรกันวะเนี่ย ตายแล้วก็มาเกิดใหม่ที่นี่ มีครอบครัวครบ แล้วยังจะได้สามีมาอีก อะไรมันจะรวดเร็วปานนั้น ชาติที่แล้วไม่เห็นจะได้แต่งงานเลย แฟนยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ หวังว่าสามีคงจะไม่ขี้เหร่เกินไปหรอกมั้ง ช่างมันเถอะ ๆ มีสามีก็ดีแล้วเรื่องอื่นช่างมัน นอนดีกว่า หวังว่ามันจะเป็นเรื่องจริงนะ คงไม่ใช่เพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป