บทที่หนึ่ง

มุมมองของเบธานี

“เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ เราให้ยาทั้งหมดเท่าที่เงินมัดจำของคุณจะซื้อได้แล้ว แต่มันยังไม่พอที่เราจะเริ่มการรักษาได้” คุณหมอพูด พยายามทำเสียงให้ดูเสียใจ แต่ฉันกลับนั่งสงสัยว่าคนพวกนี้ใจดำอำมหิตได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ฉันทำงานหนักแทบตายมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ถึงขั้นต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อจะทำงานพาร์ทไทม์หลายๆ ที่ได้ เพียงเพื่อหาเงินมาเป็นค่ารักษาให้เธอ

ค่ารักษาพยาบาลสูงถึงสองล้านดอลลาร์ มันเป็นโรคที่หายากมาก เกิดขึ้นเพียงสามในล้านคนบนโลก และโชคร้ายที่น้องสาวของฉันคือหนึ่งในเหยื่อของโรคร้ายกาจนี้

หลายเดือนแล้วที่ฉันยังรวบรวมเงินได้ไม่ถึงหนึ่งล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำ และไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมเริ่มการรักษาอย่างเป็นทางการให้เธอ เงินของฉันกลับถูกใช้เป็นค่าอาหารกับค่าจ้างพยาบาลกะดึกที่ดูแลเธอตั้งแต่กลางคืนจนรุ่งเช้า

“แต่คุณหมอก็รู้ว่าหนูทำงานหนักแค่ไหนเพื่อเธอมาจนถึงตอนนี้ หนูตัวคนเดียวนะคะ เธอเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของหนูและ…” ฉันกลั้นน้ำตาที่เริ่มไหลอาบแก้มไว้ไม่ไหว “หนูเสียเธอไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อหนูทุ่มเทเพื่อเธอมามากขนาดนี้ หนูรักน้อง และ…”

“เราเข้าใจสถานการณ์ของคุณนะ เบธานี แต่นี่เป็นเพียงแนวปฏิบัติของโรงพยาบาลที่เราต้องทำตาม เราไม่สามารถเริ่มการรักษาอย่างเป็นทางการกับคนไข้ได้จนกว่าค่ารักษาพยาบาลจะได้รับการชำระครบถ้วน”

“แต่เธออาจจะตายก่อนได้นะคะ” ฉันลุกขึ้นยืน ทุบมือลงบนโต๊ะ ฉันเริ่มกระวนกระวาย แค่คิดว่ากว่าจะหาเงินมาได้ครบก็อาจจะต้องกลับมาพบเพียงร่างไร้วิญญาณของน้องสาว “หนูสัญญาว่าจะหาเงินมาให้ได้ แต่ตอนนี้เธอนอนอยู่บนนั้น มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารกับยาเพียงน้อยนิด”

“งั้นก็ไปทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาให้ได้ก่อนจะหมดเวลา ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว คุณเบธานี ขอให้เป็นวันที่ดี” คุณหมอที่เบื่อหน่ายกับการโวยวายของฉันเต็มทีเอ่ยเสียงเย็นชา และเมื่อน้ำตาสายใหม่เอ่อคลอขึ้นมาในดวงตา ฉันก็ลุกขึ้น คว้ากระเป๋าสะพายเก่าๆ ของตัวเองแล้วเดินออกจากห้องทำงาน ก่อนจะกระแทกประตูปิดตามหลัง

โถงทางเดินของโรงพยาบาลฝูงนั้นเงียบสงบ ดังนั้นเมื่อฉันก้าวออกมาหลังจากกระแทกประตู ฉันจึงได้รับความสนใจจากทุกทิศทาง ส่วนใหญ่เป็นพยาบาล ซึ่งหลายคนรู้จักฉันดีเพราะฉันมาโรงพยาบาลนี้บ่อยครั้งในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา

พวกเขามองมาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามและรังเกียจ แต่ ณ จุดนี้ฉันไม่สนใจอีกต่อไป ไม่แม้แต่จะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าขณะจัดกระเป๋าบนไหล่ให้เข้าที่แล้วเดินจากไป

เมื่อออกมาถึงข้างนอก ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจโทรหาพวกเขา เสียงรถบีบแตรดังลั่น พร้อมกับเสียงผิวปากแซวและตะโกนโหวกเหวกดังผ่านหูไปขณะที่ฉันข้ามถนนอย่างเลื่อนลอย

นิ้วโป้งที่สั่นเทาของฉันเลื่อนผ่านชื่อ ‘แม่เลี้ยงจอยซ์’ ก่อนที่ฉันจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกดโทรออก

ขณะที่เสียงสัญญาณดังขึ้น ฉันก็กัดริมฝีปากอย่างประหม่า แม่เลี้ยงกับลูกติดของเธอ วิเวียน ไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวที่จะไล่ฉันกับน้องสาวออกจากบ้านโดยมีแค่เสื้อผ้าติดตัวในทันทีที่พ่อของเราเสียชีวิต

เราไม่เคยมีโอกาสได้ต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของตัวเอง หรือแม้แต่จะเรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์สินจากพินัยกรรมของพ่อผู้ล่วงลับ เพราะมันชัดเจนว่าถึงแม้เราจะหาทนายมาได้ ฉันก็ไม่มีเงินพอที่จะฟ้องร้องพวกเขาขึ้นศาล

ฉันจึงย้ายไปอยู่กับโจเอล แฟนของฉัน เขารับเราสองคนพี่น้องเข้ามาอยู่และดูแลเราอย่างดีจนกระทั่งฉันหางานทำได้ควบคู่ไปกับการเรียนในวิทยาลัยชื่อดังด้วยทุนการศึกษา ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แม้บางครั้งมันจะแย่ถึงขนาดที่เราได้กินข้าวแค่วันละมื้อเพื่อให้น้องสาวตัวน้อยของฉัน แอนนาเบล ได้กินอิ่ม แต่มันก็ยังดีกว่าเพราะเรามีความสุข และนั่นคือทั้งหมดที่สำคัญ

โจเอลกับฉันรักกันมากจนเขาไม่สนใจว่าเราไม่ใช่คู่แท้กัน เขารักฉันที่ฉันเป็นฉัน และกำลังวางแผนที่จะขอฉันแต่งงานอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ แม้แต่ฉันเองก็รู้ว่าโจเอลไม่ใช่คู่แท้ที่แท้จริงของฉัน แต่หมาป่าในตัวฉัน ฮันนาห์ กลับยอมรับเขาอย่างสุดหัวใจ มากกว่าผู้ชายคนไหนๆ ที่ฉันเคยเจอ

ทว่าโศกนาฏกรรมก็บังเกิด น้องสาวของฉันในวัยเพียงเก้าขวบต้องต่อสู้กับโรคร้ายกาจที่คุกคามจะพรากเธอไปจากฉัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทุกอย่างเริ่มพังทลายลง

ทันทีที่เธอรับสาย ฉันก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเมื่อได้ยินเสียงของเธอ

“ฮัลโหล…”

เธอคือความหวังสุดท้ายของฉัน ฉันไม่มีใครอื่นให้หันไปพึ่งพาอีกแล้ว โจเอลช่วยมามากพอแล้ว และฉันไม่สามารถรบกวนเขาได้อีก

“ฮัลโหล นี่ใคร ถ้าไม่พูดอะไรฉันจะวางแล้วนะ”

“คุณแม่เลี้ยงจอยซ์คะ นี่หนูเอง เบธานี”

ฉันคาดว่าเธอจะประหลาดใจอยู่บ้างที่ฉันโทรหาหลังจากผ่านมาสามปี เพราะไม่มีใครในพวกเขาเคยคิดจะติดต่อมาดูเลย แต่คำพูดถัดมาของเธอกลับเย็นชาและเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส

“เหรอ แล้วมีธุระอะไรล่ะ”

ฉันรู้สึกท้อใจจนไม่อยากจะขออะไร แต่ฉันต้องทำ ทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อน้องสาวของฉัน

“แอนนาเบล…” ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไร น้ำตาก็ทะลักออกมาอีกระลอกและเริ่มไหลอาบแก้ม “น้องป่วยหนักมากมาหกเดือนแล้วค่ะ แล้วค่ารักษาก็ยังจ่ายไม่ครบ…พวกเขาบอกว่า…”

“ฉันไม่มีเงิน ถ้าโทรมาเรื่องนั้นก็ลืมไปได้เลย เพราะเธอจะไม่ได้จากฉันไปแม้แต่สลึงเดียว”

“ได้โปรดเถอะ ฉัน...”

แล้วปลายสายก็ตัดไปทันที ฉันได้แต่ยืนนิ่งอยู่กลางถนน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาขณะจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อย่างไม่อยากจะเชื่อ

ความหวังทั้งหมดมันหมดสิ้นแล้วจริง ๆ เหรอ

ฉันช่วยแอนนาเบลไม่สำเร็จจริง ๆ น่ะเหรอ

แต่ฉันสัญญากับน้องแล้วนี่นา ฉันสัญญาว่าน้องจะได้ออกจากโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย

ฉันสังเกตเห็นว่าผู้คนเริ่มมองมาทางฉัน ฉันเลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

ว่าแล้วก็ไม่ได้กลับบ้านมาพักใหญ่แล้ว ฉันเคยแชร์อพาร์ตเมนต์อยู่กับเพื่อนที่อยู่ใกล้โรงพยาบาล จะได้ทำงานสะดวกแล้วก็ไปเยี่ยมน้องสาวได้ง่าย ๆ

แต่ในวันนี้ ฉันอยากกลับบ้าน ฉันต้องการโจเอล ฉันอยากรู้สึกถึงอ้อมกอดของเขา ความอบอุ่นของเขา จูบที่แสนอ่อนโยน สัมผัสของเขา ความรู้สึกที่หัวใจพองโตทุกครั้งที่สายตาเราประสานกัน

ฉันโทรหาเขาเป็นครั้งที่ร้อยนับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ แต่เขาก็ไม่รับสายเหมือนเคย ฉันสงสัยว่าเขาบล็อกเบอร์ฉันไปแล้วหรือเปล่า เพราะมันผิดปกติมากที่เขาจะไม่ได้รับสายฉัน แล้วนี่ก็ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วด้วย

ทันทีที่จ่ายเงินค่าแท็กซี่ ฉันก็เดินตรงไปยังตึกที่คุ้นเคย ฉันเคาะประตูอยู่นานกว่าห้านาที พลางสงสัยว่าทำไมเขายังไม่มาเปิด มอเตอร์ไซค์ของเขาก็จอดอยู่ในโรงรถ แล้วปกติเขาไม่ไปไหนโดยไม่มีมัน

ความกังวลของฉันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อฉันก้มลงหาลูกกุญแจสำรองใต้พรมเช็ดเท้า โชคดีที่มันยังอยู่ที่เดิม ฉันรีบไขประตูเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว

“โจเอล... ฉันกลับมาแล้ว” ฉันเอ่ยเรียก ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังภาพความรกรุงรังในห้องนั่งเล่น ทีวีถูกเปิดทิ้งไว้ซึ่งก็แปลกดี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉันตัวแข็งทื่อ มีเสื้อผ้ากระจัดกระจายเกลื่อนไปทั่วตั้งแต่บนโซฟาจนถึงพื้น

ฉันจำเสื้อเชิ้ตตัวนั้นได้ เป็นตัวที่ฉันซื้อให้โจเอลเมื่อคริสต์มาสที่แล้ว ขณะที่เดินเข้าไปข้างหน้า หรี่ตามองเสื้อผ้าชิ้นอื่นที่ไม่คุ้นตา ฉันก็เกือบจะสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง และเมื่อก้มลงมอง หัวใจของฉันก็พลันแข็งค้างด้วยความตกใจ

มันคือรองเท้าส้นสูง รองเท้าส้นเข็มสีชมพูแปร๋น

และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะใส่รองเท้าแบบนี้

ผู้หญิง

ฉันโยนกระเป๋าทิ้งโดยไม่ทันได้คิดแล้ววิ่งพรวดขึ้นไปชั้นบน เหวี่ยงประตูให้เปิดออกอย่างแรง

เมื่อเห็นพวกเขาทั้งคู่อยู่บนเตียง ฉันก็ตัวแข็งทื่อ ถอยหลังกรูด เอามือปิดปาก นิ้วสั่นเทาขณะที่น้ำตาร่วงเผาะลงมาอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่

โจเอลนอนเปลือยกายโดยมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขน หลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่ม ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากวิเวียน น้องสาวต่างสายเลือดของฉัน

ทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวสวาท ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเพิ่งมีอะไรกันและคงหลับลึกไปได้สักพักแล้ว เพราะไม่มีใครได้ยินเสียงฉันตอนที่เดินเข้ามาเลย

ฉันใจสลาย แหลกสลายจนไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากร้องไห้ หมาป่าในตัวฉันเจ็บปวดรวดร้าวกับภาพที่เห็น มันยิ่งขยายความเจ็บปวดที่ถาโถมอยู่ในใจ และขู่ว่าจะฉีกกระชากมันออกเป็นชิ้น ๆ จนกระทั่งโจเอลตื่นขึ้นมานั่นแหละเขาถึงได้สังเกตเห็นฉัน ฉันคาดหวังว่าจะได้เห็นแววสำนึกผิดบนใบหน้าของเขาบ้าง แต่เขากลับมีสีหน้ารำคาญใจขณะลุกขึ้นนั่ง

เขาสวมกางเกงในอย่างลวก ๆ แล้วลากฉันออกจากห้องก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเรา

“ทำบ้าอะไรของเธอ อยากจะปลุกหล่อนหรือไง”

ฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ฉันนึกว่าเขาพูดเล่นก็เลยหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะขมขื่นผุดขึ้นบนใบหน้า รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาอันว่างเปล่าไร้วิญญาณของฉัน “ปลุกหล่อนเหรอ? นี่คือเรื่องที่เธอกังวลอยู่ตอนนี้จริง ๆ เหรอ? ว่าหล่อนจะตื่น? นี่เธอคบกับใครอยู่กันแน่ โจเอล”

“ก็เธอ แต่...”

“แล้วในบรรดาผู้หญิงทั้งหมด ต้องเป็นน้องสาวฉันด้วยเหรอ ฉันนึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นเรื่องจริง ฉันนึกว่าเธอรักฉัน ทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง” ฉันไม่อยากจะร้องไห้ โดยเฉพาะเมื่อเขาดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่แล้วน้ำตาก็ไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย ปล่อยให้ฉันยืนเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น

หัวใจของฉันเจ็บปวดเหลือแสน และเสียงหอนโหยหวนของแฮนนาห์ที่ดังอยู่ลึก ๆ ในจิตวิญญาณก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

“วิเวียนคือเมทของฉัน”

คำพูดของเขาทำให้ความอดทนอดกลั้นทั้งหมดของฉันพังทลายลง ฉันถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะทรุดตัวลงกับกำแพง นั่งร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเจ็บปวด

“แล้วยังไง? เธอก็รู้ว่าเราผ่านอะไรกันมาบ้าง แต่เธอก็ยังจะเลือกหล่อนแทนที่จะเป็นฉันงั้นเหรอ”

“ใช่ เพราะฉันเบื่อแล้ว เบธานี ฉันเบื่อไอ้ความสัมพันธ์ห่วย ๆ ของเรานี่เต็มทนแล้ว ใครจะไปรู้ว่าที่เธอกลับมาบ้านครั้งนี้ก็เพื่อจะมาขอเงินเพิ่มอีกหรือเปล่า เธอไม่เคยสนใจฉันอีกต่อไปแล้ว มีแต่น้องสาวของเธอตลอดเวลา ฉันเอือมระอากับมันมานานแล้ว”

“เหอะ โทษทีแล้วกันที่ฉันเป็นห่วงครอบครัวคนเดียวที่ฉันมีอยู่ เธอไม่รู้หรือไงว่าน้องต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายอะไรบ้างบนเตียงคนไข้คนเดียว แล้วน้องก็เพิ่งจะแปดขวบเองนะ!”

“งั้นฉันก็จะปลดปล่อยเธอจากฉันไปซะ จะได้ไปดูแลน้องสาวของเธอได้เต็มที่ ฉันอยากให้เธอไปซะ แล้วก็ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก” แววตารังเกียจและไม่พอใจฉายชัดขณะที่เขากวาดตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า มันส่งความรู้สึกเย็นเยียบไปทั่วสันหลัง ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เห็นแววตาแบบนั้นจากเขา

แววตาของเขาดูเกลียดชังเหลือเกิน

“เดี๋ยวนี้เธอแทบไม่ดูแลตัวเองเลยด้วยซ้ำ ดูสิ โทรม ซูบซีด แล้วก็น่าเกลียด ไม่มีผู้ชายสติดีคนไหนเขาอยากจะยุ่งกับเธอหรอก”

ฉันพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาขณะที่เขาเอ่ยคำพูดสุดท้าย

“ข้า, โจเอล อดัมส์ ขอปฏิเสธเจ้า, เบธานี วิลเลียมส์ ในฐานะเมทของข้า”

บทถัดไป