บทที่ 5 คาดหวังชีวิตใหม่

ฉันสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบๆ กับกางเกงขายาวสีดำ มาถึงโถงผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลโรคหัวใจ แอลเอ พรีเมียร์

จอร์จได้รับข้อความของฉันแล้วก็รีบเดินออกมาต้อนรับ

ฉันกอดเขาแน่นๆ แผงอกอวบๆ ของเขาทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

มีเรื่องอะไรไม่สบายใจที่นิวยอร์กหรือเปล่า

เขาจับไหล่ฉันไว้แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “หลังจากที่ฉันแนะนำเธอให้หัวหน้าแผนกศัลยกรรมแล้ว ฝ่ายบุคคลก็ตรวจสอบประวัติของเธอตามขั้นตอน พวกเขาตอบกลับมาว่าเธอไม่ผ่านการพิจารณาของหัวหน้าแผนกที่นั่นน่ะสิ บอกตามตรงนะ ฉันประหลาดใจมากเลย แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าผลสรุปนั้นจะใช้ได้จริงหรือเปล่า เพราะตอนนี้หัวหน้าคนนั้นก็ถูกพักงานแล้วเหมือนกัน เมื่อวานนี้เอง เพิ่งถูกคณะกรรมการจริยธรรมสอบสวนไป”

ฉันพยักหน้า “เขาชื่อเดวิด มิลเลอร์ เป็นอาชญากรคดีข่มขืน คนที่แจ้งเรื่องเขาต่อคณะกรรมการจริยธรรมก็คือฉันเอง”

จอร์จทำสีหน้าเหมือนกับว่า "อ๋อ เข้าใจแล้ว" ในทันที พร้อมกับตบไหล่ฉันเบาๆ อย่างเห็นใจ

“คนแบบนี้สุดท้ายก็ต้องตกนรก ถึงแม้ว่าฝ่ายบุคคลจะไม่ได้ให้ข่าวดีกับเธอก็ตาม แต่ฉันก็ได้แนะนำเธอให้แฮงค์ แบรนดท์—ก็คือหัวหน้าแผนกศัลยกรรม—ไปแล้ว ซาร่าห์ ฉันเชื่อว่าเธอจะต้องทำได้ดีเกินความคาดหมายของเขาไปมากโขเลย”

ดวงตาของฉันร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะไหลออกมา

“ขอบคุณนะคะ จอร์จ”

ในห้องประชุม การสัมภาษณ์ของฉันกับจอร์จและแฮงค์ แบรนดท์ดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก

แฮงค์ แบรนดท์เป็นชายชาวยิววัยสี่สิบกว่าปี เขามีผมหยิกสีดำและแนวผมที่ค่อนข้างสูง สวมแว่นตากรอบสีดำ เป็นคนพูดน้อยและมีสีหน้าเคร่งขรึม

แต่เขาก็คอยพยักหน้ารับฟังคำพูดของฉันเป็นระยะๆ ส่วนจอร์จก็ส่งสายตาที่แสดงความยอมรับและให้กำลังใจมาให้ฉัน ฉันเดาว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ

ตอนใกล้จะจบการสัมภาษณ์ จู่ๆ โทรศัพท์ของฉันก็สั่นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ในห้องประชุมที่เงียบสงบ เสียงนั้นมันน่าตกใจมาก ฉันรีบกดวางสายแล้วยิ้มขอโทษให้พวกเขาทั้งสอง แต่แล้วโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาอีก

แฮงค์ แบรนดท์พูดกับฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ดูเหมือนจะเป็นเรื่องด่วนนะ รับสายเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”

ฉันรีบปิดเครื่องโทรศัพท์ไปเลย แล้วพูดกับจอร์จอย่างกระอักกระอ่วนว่า “แม่บุญธรรมของฉันน่ะ คุณก็รู้”

จอร์จพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วหันไปพูดกับแฮงค์ แบรนดท์ว่า “เธอมีครอบครัวที่ค่อนข้างพิเศษน่ะ”

การสัมภาษณ์จบลงในไม่ช้า แพทย์ทั้งสองท่านก็เดินมาส่งฉันที่ปากทางบันได

แฮงค์ แบรนดท์จับมือกับฉัน

ฉันมั่นใจว่าฉันเห็นแววตาชื่นชมจากเขา

"คุณเดวิส ประวัติของคุณไร้ที่ติ ในฐานะแพทย์ฝึกหัด ถือว่าคุณมีคุณสมบัติเกินตัวไปมาก แต่การที่คุณจะสามารถเป็นศัลยแพทย์ตัวจริงที่นี่ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณ เราเป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับสูง ซึ่งแตกต่างจากที่นิวยอร์ก CHHC ที่คุณเคยทำงาน เราเน้นการบริการที่รอบด้าน โดยคำนึงถึงมุมมองของผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อเสนอแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดให้แก่พวกเขา หวังว่าคุณจะปรับตัวได้เร็วๆ นี้นะ"

พูดจบ เขาก็ตบไหล่ของจอร์จเบาๆ “ศาสตราจารย์อาวุโสท่านนี้ใกล้จะเกษียณแล้ว เขาจะคอยช่วยให้เธอกลายเป็นศัลยแพทย์ตัวจริง”

ฉันพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ! ขอบคุณค่ะ”

ฉันทำได้แล้ว!

เมื่อเดินออกจากประตูโรงพยาบาล ฉันก็รีบเปิดโทรศัพท์แล้วโทรกลับไปทันที

ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงตวาดลั่นมาจากปลายสาย “แกกล้าวางสายฉัน แถมยังปิดเครื่องหนีอีก! แกกล้าดียังไง?!”

ฉันกรอกตามองบนฟ้า คำพูดพวกนี้เอาไว้พูดกับฉันเมื่อสิบปีก่อนน่าจะดีกว่า ตอนนั้นฉันที่ใช้ชีวิตอยู่กับความไม่มั่นคงทุกวัน ไม่กล้าขัดคำสั่งของแม่เลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่า ตอนนี้ฉันก็ยังคงต้องยอมเธอไปก่อน เพราะฉันยังต้องการที่พักพิงอยู่

ฉันจึงพูดด้วยน้ำเสียงต่ำต้อย “แม่คะ หนูขอโทษจริงๆ ค่ะ พอดีหนูอยู่ในช่วงสัมภาษณ์งานพอดี หนูรู้ว่าแม่โทรมาต้องมีเรื่องสำคัญมากๆ แน่ แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันสำคัญกับหนูมากจริงๆ ค่ะ แม่เองก็อยากให้หนูหางานได้เร็วๆ จะได้ไม่ต้องกลับไปรบกวนที่บ้านใช่ไหมคะ? ขอโทษอีกครั้งนะคะ”

นี่ไม่เหมือนลูกสาวคุยกับแม่เลยสักนิด แต่เหมือนพนักงานบริการลูกค้าเอาท์ซอร์สชาวอินเดียกำลังคุยกับลูกค้าชาวอเมริกันขี้หงุดหงิดเสียมากกว่า

เสียงบ่นอย่างหัวเสียของเธอดังลอดมาจากโทรศัพท์ จากนั้นเธอก็ออกคำสั่ง

“อีกสามวันคืองานแต่งงานของฉัน จัดที่คฤหาสน์คาโปสตา! พ่อใหม่ของแก คุณคาโปสตา หวังว่าทั้งสองครอบครัวจะมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ดังนั้นแกก็เลยได้รับเกียรติให้มาด้วย ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้แกก็ไม่มีวันได้ย่างเท้าเข้ามาในคฤหาสน์ที่เหมือนกับพระราชวังแบบนี้หรอก”

ฉันแอบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่โทรศัพท์ อย่างน้อยฉันก็เป็นคนที่เคยไปดิสนีย์แลนด์มาแล้วนะ!

“ยินดีด้วยใจจริงนะคะแม่! แม่ยิ่งจะร่ำรวยขึ้นไปอีก จริงๆ แล้วหนูไม่ไปก็ได้ค่ะ หนู... หนูไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสมเลย”

ฉันนึกภาพแม่บุญธรรมกับเอมิลี่ใส่เสื้อผ้าราคาแพงแล้วมองมาที่ฉันด้วยสายตาดูถูกออกเลย

ไปร่วมงานแต่งงานของเธอน่ะเหรอ? นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

พูดตามตรง ฉันยอมเชื่อเสียดีกว่าว่าที่เธอโทรมาหาฉันก็เพราะว่าในงานแต่งงานขาดพนักงานเสิร์ฟผู้หญิง

“เสื้อผ้ากับเครื่องประดับส่งไปให้แล้ว! แกเป็นลูกสาวของฉัน อย่าทำให้ฉันต้องอับอายขายหน้าเด็ดขาด!”

พูดจบเธอก็ตัดสายไป

พระราชวังเหรอ?

ดูท่าว่าคนที่จูเลียแต่งงานด้วยครั้งนี้ จะรวยกว่าอดีตสามีทนายความคนก่อนที่ตายไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด

คฤหาสน์คาโปสตา? ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยจริงๆ ก็แหงล่ะ ฉันจากแอลเอมาตั้งหลายปีแล้ว อีกอย่างฉันก็ไม่เคยรู้จักเศรษฐีตัวจริงคนไหน และก็ไม่ได้สนใจชีวิตอันน่าเบื่อของพวกเขาสักนิด

หลังจากกลับถึงบ้านได้ไม่นาน ก็มีรถหลายคันมาส่งของถึงหน้าประตู

ในกล่องใบใหญ่ยักษ์มีชุดราตรีสีชมพูอ่อนอยู่หนึ่งชุด

โอ้ พระเจ้า!

ถึงฉันจะไม่สนใจชีวิตของพวกคนรวยเลยสักนิด แต่ชุดนี้น่ะ มันสวยบ้าบออะไรอย่างนี้! สวยจนฉันละสายตาไม่ได้เลย

ฉันกระโดดขึ้นบนโซฟาด้วยความดีใจ รีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก แล้วสวมชุดนั้นอย่างแทบจะรอไม่ไหว

ฉันที่ยืนอยู่หน้ากระจก ในชุดกระโปรงยาวลากพื้น เอวดูเล็กคอด สะโพกก็ดูกลมกลึง ฉันรวบผมขึ้น เผยให้เห็นแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ โอ้ ฉันแทบจะหลงรักตัวเองเข้าให้แล้ว!

ฉันหมุนตัวอยู่กับที่ในห้องนั่งเล่น ชื่นชมชายกระโปรงที่ปลิวไสวเบาราวขนนก วันนี้ฉันนี่แหละคือดาราฮอลลีวูด!

จริงสิ ยังมีเครื่องประดับอีก! ฉันรีบเปิดกล่องออกดู

ข้างในจัดวางชุดเครื่องประดับที่เน้นไพลินเป็นหลักไว้อย่างเป็นระเบียบ ทั้งสร้อยคอ ต่างหู และสร้อยข้อมือ เครื่องประดับชุดนี้มีไพลินทั้งขนาดเล็กและใหญ่อย่างน้อยสิบเม็ด เม็ดที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นจี้ตรงกลางสร้อยคอนั้นใหญ่เท่าไข่นกพิราบเลยทีเดียว

แม้ว่าฉันจะรู้ว่าเธอไม่มีทางยกของทั้งหมดนี้ให้ฉันแน่—ส่วนใหญ่น่าจะเป็นของเช่ามา และฉันต้องสวมใส่อย่างระมัดระวัง—แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอทุ่มเงินให้ฉันมากขนาดนี้

ดูท่าแล้วเธอคงให้ความสำคัญกับงานแต่งงานครั้งนี้มาก และฉันก็ต้องปรากฏตัวในฐานะลูกสาวบุญธรรมของจูเลียอย่างสมหน้าสมตา

ถึงเธอจะรักหน้าตาตัวเองมากก็จริง แต่จะยอมทุ่มเงินขนาดนี้เพื่อฉันเนี่ยนะ?

มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉันได้สำเร็จ คฤหาสน์คาโปสตาเป็นสถานที่แบบไหนกันนะ? แล้วพ่อคนใหม่ในนามของฉันคนนี้ล่ะ เป็นคนยังไงกัน?

ในเช้าอีกสามวันต่อมา ฉันใช้เวลาสองชั่วโมงไปกับการถักผม แต่งหน้า และเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน ในที่สุดฉันก็จัดการตัวเองจนเสร็จเรียบร้อย ฉันค่อยๆ ประคองชายกระโปรงเดินออกจากบ้าน ไปขึ้นรถคาดิลแลคยาวพิเศษที่จอดอยู่หน้าประตู—ซึ่งเห็นได้ชัดว่าแม่เป็นคนจัดการให้!

ตอนที่ฉันก้าวเท้าเข้าไปในคฤหาสน์คาโปสตา ฉันยอมรับเลยว่าจินตนาการที่ผ่านมาของฉันมันช่างคับแคบเสียจริง ถึงแม้ฉันจะเคยไปดิสนีย์แลนด์มาแล้วสองสามครั้ง แต่ในตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กบ้านนอกที่เพิ่งเคยเข้ากรุงเป็นครั้งแรก!

คฤหาสน์คาโปสตาแห่งนี้มันทั้งใหญ่โตและหรูหราอลังการเกินไปแล้ว

บทก่อนหน้า
บทถัดไป