บทที่ 7 ตอนที่ 7
ไม่ทันที่ดาหลาจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากหลังรั้ว คล้ายมีตัวอะไรสักอย่างที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง เมื่อรอนน์เหลือบกลับมามองทางด้านหลังก็เห็นเสือโคร่งตัวเขื่องตั้งท่าจะกระโจนเข้าใส่ดาหลา
“ระวัง... ”
“กรี๊ด”
เป้าหมายของการจู่โจมกรีดร้องเสียงดังลั่นด้วยความหวาดกลัว รอนน์กระโดดกอดดาหลาเอาไว้แน่น เขาใช้ลำตัวรับกรงเล็บที่ตะปบเข้ามารัวๆ ก่อนจะเอื้อมคว้าดุ้นฟืนแล้วตวัดใส่เจ้าเสือโคร่ง ด้วยความกลัวเปลวไฟทำให้มันโดดข้ามรั้วกลับออกไปในป่า
“เป็นอะไรมากไหม”
ดาหลาถามเสียงสั่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความเป็นห่วงเขา และในจังหวะที่พ่อสามีหันกลับมามองว่าหล่อนบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า บั้นเอวหนาที่เผยออกมาสู่แสงไฟทำให้ดาหลาเห็นรอยเลือดเป็นแนวยาวจากกรงเล็บของเสือโคร่งที่ฝากเอาไว้
“ตายจริง”
ดาหลาตกใจ รอนน์รีบเอี้ยวตัวมองบาดแผล
“ไม่เท่าไร... ”
เขารู้ว่าโชคดีที่แผลไม่ลึก เลือดที่เห็นเป็นแนวยาวก็เพราะกรงเล็บคมที่ฝากเอาไว้
“ไปโรงพยาบาลเถอะนะคะ”
เสียงของลูกสะใภ้บอกความเป็นห่วง
“โรงพยาบาลอยู่ไกล... ใกล้สุดก็อนามัย แต่ปิดแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
รอนน์ไม่คิดว่าบาดแผลข้างลำตัวเป็นเรื่องใหญ่
“งั้นเข้าไปทำแผลในบ้าน”
หญิงสาวว่า รอนน์เดินตามร่างรัดรึงของสะใภ้แสนสวยเข้ามาในบ้านอย่างว่าง่ายเหมือนต้องมนต์สะกด
ร่างสูงใหญ่ของรอนน์ทรุดลงนั่งบนโซฟา สายตาจับจ้องอยู่ที่สะโพกผายของดาหลา หล่อนกำลังยืนอยู่ใกล้ตู้ยา เปิดตู้ค้นหายาใส่แผล
“แถวนี้มีเสือด้วยหรือคะ”
ดาหลาอดไม่ได้ที่จะนึกเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชายหล่อนที่จะต้องอยู่กับรอนน์ที่นี่
“เจ้าตัวนี้มันเป็นเสือของวัดป่าที่อยู่หลังเขา วัดที่เมืองไทยก็แปลก บางวัดเลี้ยงสัตว์ป่าเอาไว้เยอะเหมือนสวนสัตว์ยังไงยังงั้น ทั้งที่บางชนิดก็เป็นสัตว์สงวน”
“มันเคยหลุดมาแล้วหรือคะ”
“ใช่... เจ้าลายตัวนี้มันเคยหลุดมาแล้วครั้งนึงเมื่อเดือนก่อน แต่โชคดีที่มันไม่ได้ทำอันตรายใคร ที่มันไม่ดุร้ายเท่าไรก็เพราะยังเป็นลูกเสือที่ถูกเลี้ยงอยู่ในกรงจนแทบไม่หลงเหลือสัญชาตญาณสัตว์ป่า”
“โห... นี่ขนาดไม่ดุร้ายนะคะ”
“ไม่ต้องกังวล... คิดว่าเดี๋ยวคงมีเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานเข้ามาจัดการ”
“ดีค่ะ”
ดาหลารู้สึกโล่งใจ หล่อนเดินกลับมาทรุดร่างลงนั่งข้างๆ ร่างกำยำของพ่อสามี
“อุ้ย... เลือดไหลออกมาด้วย”
หญิงสาวค่อยๆ ใช้สำลีเช็ดโลหิตสีแดงที่ซึมออกมาจากรอยแผล ตามด้วยยาทิงเจอร์ไอโอดีน
“แสบไหมคะ”
“พอทน”
พ่อผัวกัดฟันตอบ ความใกล้ชิดทำให้หัวใจของรอนน์เต้นแรง เมื่อหล่อนขยับเข้ามาใกล้จนจมูกของเขาสัมผัสได้กับกลิ่นสาบสาวในเรือนกายของหล่อน
“คงทำได้แค่เช็ดแผลนะคะ”
“แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
รอนน์รู้สึกว่าเท่านี้ก็ดีสุดๆ แล้ว สำหรับผู้ชายที่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากผู้หญิงมานาน
“บางทีคุณน่าจะแต่งงานใหม่นะคะ หาภรรยาสักคน จะได้มีคนดูแล”
ดาหลาแนะ
“แล้วคุณล่ะ... ทำไมยังไม่แต่งงานใหม่ สวยๆ แบบนี้คงมีผู้ชายเข้าแถวรอจีบ”
“ก็ยังไม่ถูกใจใคร... อยู่คนเดียวก็สบายดี”
“ช่างบังเอิญจริงๆ สาเหตุที่ผมยังไม่มีใคร ยังไม่แต่งงานใหม่ก็เหตุผลเดียวกับคุณนี่แหละ หรือบางทีโชคชะตาอาจจะรู้ล่วงหน้าว่า... ”
รอนน์ทิ้งท้ายประโยคเอาไว้ให้คนฟังอยากรู้
“รู้ล่วงหน้า... ยังไงคะ?”
สะใภ้ทวนคำของพ่อผัว
“ก็โชคชะตาอาจจะรู้ล่วงหน้าว่าวันหนึ่งเรามาจะเจอกัน... ก็เลยให้ผมรอคุณ”
รอนน์กล่าวติดตลก ทว่าดาหลาไม่ตลกด้วยเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกตกใจกับคำพูดทีเล่นทีจริงของเขา เห็นชัดว่าน้ำเสียงและแววตาของพ่อผัวคนนี้กำลังจีบหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
“มีอารมณ์ขันนะคะ”
สะใภ้กล่าวเขินๆ รอนน์ได้แต่อมยิ้ม สายตาไม่ละจากใบหน้าสะสวยของหล่อนที่พยายามซ่อนอาการเอียงอาย
“ยิ้มอะไรคะ”
ดาหลาว่า นึกอยากแกล้งคนปากดีเลยเอาสำลีชุบยาทิงเจอร์แล้วกดแรงๆ ที่บาดแผล
“โอ้ย... ”
รอนน์ร้องโอดโอย รู้ว่าดาหลาจงใจแกล้งเพื่อให้เขารู้ว่าควรระมัดระวังคำพูดและความคิดของตัวเอง
“อุ๊ย... ตรงนี้ก็โดนด้วยนี่นา”
ดาหลาตกใจ เมื่อสังเกตเห็นรอยถากเป็นทางยาวใกล้กับสะดือซึ่งรกไปด้วยเส้นขนของรอนน์
“อยู่นิ่งๆ นะคะ จะใส่ยาให้”
หล่อนบอกพลางใช้สำลีชุบยาทิงเจอร์อีกครั้งแล้ว ค่อยๆ แตะไปตามรอยยาวของบาดแผลใกล้สะดือ แลเห็นกล้ามท้องของพ่อผัวแน่นนูนเป็นคลื่นลอนน่าลูบไล้
รอนน์จ้องมองใบหน้าของสะใภ้ไม่วางตา ก่อนจะหลุบตาลงมองมือที่สั่นน้อยๆ ของหล่อน
“ทำไมต้องมือสั่นด้วยล่ะ?”
รอนน์ถาม
“ไม่ถามสักเรื่องได้ไหมคะ”
ดาหลานิ่งมองหน้าเขา รู้สึกว่ารอนน์ช่างสงสัยเสียจริงๆ
“ก็แค่อยากรู้... ว่าทำไมมือสั่น”
“คงตกใจมั้งคะ... ”
คนถูกถามตอบไม่ตรงกับความจริง ทั้งที่รู้ว่าสาเหตุที่ใจเต้นแรงและมือสั่นนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพราะเรือนร่างกำยำของเขาเป็นเหตุ
นอกจากตะวันผู้เป็นสามีของหล่อน ดาหลาก็ไม่เคยต้องมานั่งใกล้ชิดถึงขั้นสัมผัสแตะต้องเนื้อตัวของผู้ชายอื่นขนาดนี้
“อ๊าห์... ”
รอนน์ซี้ดส์ปากแสบทิงเจอร์
“ขอเหล้าแก้ปวดสักแก้วเถอะ”
ได้ยินที่รอนน์บอก หญิงสาวก็ก้าวออกไปจากห้องนอนของเขา ครู่สั้นๆ ก็กลับมาพร้อมกับขวดวอดก้าที่ถืออยู่ในมือ
“ขอบใจ”
