บทที่ 6 บทที่ 2 ใกล้กันแค่นี้ 1

หลังจากผละออกร่างใหญ่ก็บอกให้สลิสาลุกขึ้นแต่งตัว เธอจึงกลั้นใจดันกายลุกขึ้นแม้จะปวดร้าวไปทั้งกายก็ตามที แต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่มีเอาไว้ได้เลย

“เธอรู้ไหมซิน...บางทีน้ำตาของเธอมันก็ใช้ไม่ได้ผล”

เสียงเข้มเย็นเยียบของคนที่ลุกขึ้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ใบหน้ารื้นเศร้าเบือนขึ้นมองเขาเพียงชั่ววินาทีแล้วก็ก้มลงดังเดิม

เธออยากแก้คำพูดของเขาให้ถูกต้องว่าน้ำตาของเธอไม่เคยใช้ได้ผลเลยต่างหาก

แต่พูดไปก็เท่านั้น...รังแต่จะทะเลาะกันเสียเปล่า หญิงสาวจึงลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อยแล้วเตรียมจะเดินออกจากสำนักงานไป

ทุกอย่างอยู่ในสายตาคนเป็นสามีตั้งแต่ต้น ส่วนลึกในใจรู้สึกสงสารแต่เขาไม่ต้องการให้คนพวกนี้ได้ใจ...

จะทำให้สลิสากับพ่อรู้ว่าเขาไม่เหมือนมารดาที่จะเมตตางูพิษทั้งสองตัวนี้

ร่างใหญ่ใหญ่จึงปรี่เข้าไปกระชากแขนเรียวไว้ในจังหวะที่สลิสากำลังจะเปิดประตู

“พ่อเลี้ยง!” มือเล็กพยายามดันเขาออกไป

“เช็ดน้ำตาซะ”

นิ้วแกร่งไล้น้ำตาออกจากแก้มนุ่มแต่แววตาหนุ่มปราศจากความอ่อนหวาน มันคงจะดีไม่น้อยหากนี่เป็นการปลอบโยน

...แต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่

“อย่าให้ฉันต้องซวยเพราะว่าแม่ฉันเห็นเธอร้องไห้”

สุดท้ายแล้ว...อนลไม่เคยแคร์ความรู้สึกของเมียนอกหัวใจ

น้อยครั้งนักที่อนลจะยอมให้เธอโดยสารมาด้วยแบบนี้ แต่ตุ๊กตาหน้ารถอย่างสลิสาดูไร้ชีวิตชีวาเหลือเกินเพราะไม่ได้ตื่นเต้นหรือดีใจเลยสักนิด มีแต่ความหวาดหวั่นจนทำตัวไม่ถูก

“อะไรนักหนา”

น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นหลังจากกระบะคันกลางเก่ากลางใหม่ขับออกมาไกลสำนักงานได้สักพัก

คนที่นั่งตัวลีบเกือบจะติดประตูรถหันมองใบหน้าซีกข้างของสามี ไม่แน่ใจว่าเขาเพียงพึมพำหรือกำลังพูดกับเธอ และมันก็ชัดเจนในประโยคต่อมา

“ไม่ต้องแสดงท่าทางรังเกียจฉันขนาดนี้ก็ได้”

“ขอโทษที่ทำให้พ่อเลี้ยงคิดอย่างนั้น”

เธอแค่ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร...คนอย่างเธอแค่หายใจก็ผิดแล้วในสายตาของเขา

อนลไม่ได้สนใจคำพูดของเธอเลยทำให้หญิงสาวแอบคิดว่าชายหนุ่มแค่ต้องการหาเรื่องเพราะคงหมั่นไส้ตนเต็มทนจึงพยายามนั่งในท่าที่สบายกว่าเดิมแต่ก็ไม่คิดจะชวนสนทนา ก่อนที่รถชะลอความเร็วลงพร้อมกับที่สายตาของเขามองไปยังรถอีกคันที่ขับสวนมา

พลันเท้าใหญ่ก็เหยียบเบรกด้วยอารมณ์โกรธ สลิสาร้องลั่นหัวคะมำจนหน้าผากชนกับคอนโซลอย่างแรง แรงกระแทกเพียงพอจะทำให้หน้าผากโนนูนและสลิสารู้สึกมึนไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

“อูย...”

มือบางถูหน้าผากยิกๆ ขณะที่ในรถนั้นเงียบเชียบ คนตัวใหญ่เงียบไปราวกับว่ากำลังข่มใจตัวเองอยู่เธอรู้ดีว่าเพราะอะไร ในใจได้แต่ภาวนาขออย่าให้สถานการณ์มันเลวร้ายลงไปกว่านี้เลย

แต่ในนาทีที่เงยหน้าขึ้นมองเขาเธอก็เข้าใจทุกอย่าง

“พ่อของเธอนี่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยนะ”

เสียงเข้มเค้นลอดไรฟันออกมาในคราที่กรามแกร่งขบเข้าด้วยกันแน่น

หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำด้วยความหวั่นใจ เอาเข้าจริงแล้วเธอก็ไม่เข้าใจทั้งเขาและไม่เข้าใจทั้งบิดานั่นแหละ แล้วคำถามนี้คนตอบนั้นไม่อยู่คนอยู่ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร

“พ่อเลี้ยงจะให้ซินไปพูดกับพ่อให้หรือเปล่าคะ”

เผื่อเขาอยากฝากอะไรถึงท่านบ้าง หากมีโอกาสเหมาะเธอจะได้เจาะจงพูดกับท่านตรงๆ

แต่ราวกับว่าความเป็นสลิสาจะไม่ถูกใจเขาอีกแล้ว

“โอ๊ย!”

ร้องเสียงสั่นเมื่อถูกเขากระชากข้อมือเต็มแรงจนร่างบางแทบจะปลิวข้ามไปหาเขา ข้อมือเธอเจ็บมากก่าหน้าผากเสียอีก

“ซินทำอะไรผิด?”

“ทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ”

เธอยังมีหน้ามาถามว่าทำอะไรผิด

“นี่มันเป็นสิ่งที่เธอควรทำมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือห้ะ? เธอมีสมองเหมือนกันไม่ใช่หรือ คิดไม่เป็นหรือไงว่าเรื่องไหนควรทำหรือไม่ควรทำ ไม่จำเป็นต้องให้ฉันบอกหรอกมั้งซิน

...นอกเสียจากว่าเธอไม่ต้องการจะทำแบบนั้น เธอคงอยากสนับสนุนให้พ่อเธอทำชั่วช้าในอาณาจักรของฉันสินะ”

“พ่อเลี้ยงรู้ได้ยังไงว่าซินไม่เคยพูด”

อนลไม่เคยรู้หรอกว่าที่ผ่านมาสลิสาลำบากใจมากแค่ไหน เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทนอยู่ในสภาพนี้ไปอีกนานเท่าไหร่แต่อย่างไรเสียเธอก็คงต้องทนจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม

“แล้วทำไมมันยังทำ!”

“ซินไม่รู้”

ตอบเสียงสั่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เธอไม่อยากกลายเป็นผู้หญิงสำออยเจ้าน้ำตาให้ใครได้หัวเราะเยาะ

ที่จริงสลิสาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบิดาตนคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้คืออนลไม่ควรเอาความโกรธเกลียดชิงชังที่มีต่อท่านมาลงกับเธอเลย

ทว่าที่ผ่านมามันก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ...เขาเกลียดเธอ และมีเธอไว้เพื่อเป็นที่ระบาย

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็จงใจผลักเธอออกเต็มแรง สายตาหมองเศร้ามองเขาที่เปิดประตูลงไปแล้วเดินอ้อมตัวรถมาฝั่งตนด้วยความฉงน จนกระทั่งเขาเปิดประตูรถแล้วดึงเธอลงไปถึงได้รู้ว่าเขาต้องการอะไร

“ลงมา!”

“ซินจะกลับบ้าน...”

แม้เสียงที่ตอบเขาจะไม่ดังนักแต่มันมีความชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอจะไม่ทำตาม ใครจะยอมถูกทิ้งไว้ตรงนี้ทั้งที่ใกล้ค่ำไหนฝนก็ตั้งเค้าว่าจะตกอีก เธอไม่มีทางเดินกลับไปยังที่ที่บิดาอยู่หรอกเพราะมันไกลกว่าระยะทางกลับบ้านใหญ่เสียอีก

“เชื้อพ่อเธอมันแรงมากสินะ มานี่”

อนลคว้าแขนเล็กแล้วกระชากเต็มแรงจนสลิสาแทบจะปลิวออกมาจากรถ เธอรู้แล้วว่าอย่างไรก็คงจะขัดใจเขาไม่ได้

ต้นแขนทั้งสองข้างของเธอถูกบีบเต็มแรงจนเผลอคิดว่าปลายนิ้วแกร่งกำลังจะทิ่มแทงเข้ามาในเนื้อหนัง สายตาที่มองมาก็ราวกับว่าจะฆ่ากันตายให้ได้อย่างไรอย่างนั้น

“ในเมื่อพ่อเธอมันระยำย่ำยีศักดิ์ศรีของแม่ฉันแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นที่ฉันจะถนอมดวงใจของมัน ไป!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป