บทที่ 7 บทที่ 2 ใกล้กันแค่นี้ 2
“ในเมื่อพ่อเธอมันระยำย่ำยีศักดิ์ศรีของแม่ฉันแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นที่ฉันจะถนอมดวงใจของมัน ไป!”
สลิสาทั้งถูกผลักถูกเหวี่ยงไปยังท้ายรถ อนลเปิดฝาท้ายของกระบะออกแล้วผลักไหล่มนอีกครั้งจนเธอนั่งลงแต่ก็ดันเธอเข้าไปด้านในอย่างไร้ความอ่อนโยนเพื่อจะได้ปิดมันเหมือนเดิมก่อนจะยักไหล่แล้วพูดว่า
“ถ้าไม่อยากนั่งกระบะ จะลงไปเดินก็ได้นะ”
“...”
สลิสาไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีกแล้ว ถ้าคิดในแง่ดีอย่างน้อยอนลก็ไม่ใจร้ายปล่อยให้เธอเดินกลับบ้านค่ำมืด แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่มันเป็นแบบนี้
“ดี! อย่ามากระโดดลงจากรถทีหลังก็แล้วกัน บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าเธอไม่ตายฉันจะถอยรถมาทับให้ร่างแหลกเลยคอยดู”
เขาไม่ต้องพูดแบบนี้หญิงสาวก็รู้ว่าอนลเกลียดเธอจนอยากฆ่าให้ตายอยู่แล้ว สลิสาไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรคนใจร้ายเลยเดินกลับไปขึ้นรถ
ในระหว่างที่รถแล่นต่อไปได้สักพักฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฝนเม็ดใหญ่ไม่ได้ทำให้เหน็บหนาวเท่าความเย็นชาของคนเป็นสามี
เพราะชายหนุ่มไม่คิดจะเห็นใจกันสักนิดเขาขับรถต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่าสลิสาด้อยค่ายิ่งกว่าหมาจรจัดที่เขาแวะรับจากข้างทาง
คนตัวบางได้แต่กอดเข่าบรรเทาความหนาวที่ก่อเกิดทั้งกายและใจท่ามกลางสายฝนที่สาดซัด ไม่คิดจะกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้อีกต่อไป
หารู้ไม่ว่าคนข้างในคอยเหลือบตามองหล่อนผ่านกระจกหลังตลอดเวลา เขาพยายามบอกกับตัวเองว่าอย่าแม้แต่จะคิดหรือรู้สึกสงสารเจ้าหล่อนเชียว
พ่อของหล่อนยังไม่เคยคิดจะสงสารหัวใจของมารดาตนเลยนี่นา
แบบนี้แหละสกลถึงจะรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อคนที่รักถูกทำร้ายหัวใจ
กับข้าวบนโต๊ะอาหารเย็นชืดไปนานแล้วแต่แม่เลี้ยงอัมรากลับไม่แตะอะไรเลยสักนิด ร่างซูบนั่งเงียบๆ อยู่ตรงหัวโต๊ะอย่างรอคอย ปกติสลิสาจะทานข้าวเป็นเพื่อนท่านทุกมื้อส่วนบุตรชายและสามีใหม่ต่างไปกันคนละทาง
“เก็บเถอะ”
ตัดสินใจบอกกับเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมกับถอนหายใจอย่างคนสิ้นหวัง ดวงตาไร้พลังทำให้คนรับคำสั่งอ่อนใจ
“กิ๋นสักน้อยก็ยังดีหนาเจ้า”
ระยะหลังร่างกายของแม่เลี้ยงอัมราเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด คิดว่าน้ำหนักท่านน่าจะลดลงไปไม่ต่ำกว่าสิบกิโลกรัม
ทำให้หลายคนไม่คุ้นกับภาพหญิงสูงวัยร่างผอมแบบนี้ คนงานต่างก็เอาไปพูดกันว่าท่านตรอมใจเรื่องสามี
“มันไม่อร่อย”
แม้จะยังไม่ได้ชิมเลยสักคำท่านก็รู้ สู้ไม่กินเสียเลยจะดีกว่า ท่านจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางออกคำสั่งว่า
“ถ้าซินกลับมาบอกให้ไปหาฉันบนห้องด้วย”
“เจ้าแม่เลี้ยง”
สิ้นเสียงขานรับของเด็กรับใช้ก็ได้ยินเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน แม่เลี้ยงอัมราเปลี่ยนใจไม่ขึ้นห้องแต่เดินไปต้อนรับผู้มาใหม่ หากภาพที่เห็นทำให้หัวใจของท่านหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ซิน!”
สลิสากำลังพาตัวเองลงมาจากกระบะในสภาพเปียกโชกและสั่นเทาไปทั้งตัว ส่วนบุตรชายของท่านนั้นเปิดประตูลงมาจากรถด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน แม่เลี้ยงอัมรามองอนลด้วยสายตาคาดคั้นก่อนที่เสียงเหี้ยมเกรียมจะเอ่ยถามไปว่า
“แกทำกับน้องแบบนี้ได้ยังไงตาโอม”
เขาลอบถอนหายใจก่อนจะเหลือบมองคนสั่นหนาว หญิงสาวเดินเข้าไปหาเด็กรับใช้ที่เพิ่งเข้าไปหยิบผ้าขนหนูมาให้และเข้าใจสายตาของเขาเป็นอันดีเลยไม่ได้พูดอะไรในยามที่แม่เลี้ยงอัมราหันมาสบตา
“ซินเขาขอไปนั่งข้างหลังเอง เห็นบอกว่าเหม็นน้ำหอมของผมน่ะครับ”
“แล้วแกก็ยอมให้น้องออกไปนั่งงั้นหรือ แกก็รู้ว่าฝนมันตก”
คนอย่างแม่เลี้ยงอัมราไม่มีทางเชื่อเพราะท่านรู้จักนิสัยของบุตรชายดี ไอ้คนนี้หากไม่ไล่ต้อนให้จนมุมไม่มีทางจะพูดความจริงออกมา เช่นเดียวกับที่สลิสารู้จักทั้งสองคนดี
หากเมื่อไหร่ที่สองแม่ลูกมีปากเสียงกันมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยสักครั้ง และมันไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพของแม่เลี้ยงอัมราเลย
“พี่โอมพูดความจริงค่ะคุณแม่”
สลิสามีสิทธิ์เรียกเขาว่าพี่โอมก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านเท่านั้น
“ซินเหม็นจนทนไม่ไหวค่ะแม่เลี้ยงพี่โอมบอกให้กลับมานั่งข้างหน้าแล้วแต่ไม่ไหวจริงๆ เลยยอมตากฝนดีกว่า”
สายตาหม่นเศร้าหลุบลงต่ำเกรงว่าแม่สามีจะล่วงรู้ความจริงจากแววตา อีกทั้งร่องรอยของการร้องไห้ต่อให้ตากฝนมาจนเปียกปอนมันก็ปิดไม่ได้...ก็เพราะดวงตาบวมเป่งเลยอย่างไรเล่า
“แม่เลี้ยงทานข้าวหรือยังคะ”
แสร้งเปลี่ยนเรื่องคุยเสียด้วยกลัวจะถูกซักจนหลุดปากพูดความจริง
แม่เลี้ยงอัมราส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ ท่านเอือมระอาเหลือเกินเพราะรู้ดีว่าสลิสากำลังปกป้องบุตรชายของตน หากจะเซ้าซี้ไปก็เท่านั้น
“แม่รอซิน... แต่ซินคงกินพร้อมโอมมาแล้วใช่ไหม”
“เอ่อ ยังเลยค่ะ พี่โอมก็ยังไม่ได้กิน”
แม่เลี้ยงคงเลือดขึ้นหน้าแน่ๆ หากรู้ว่าบุตรชายพาลพาโลจนอาหารในปิ่นโตกระจัดกระจายไปหมด
“งั้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทานข้าวด้วยกันนะซิน ส่วนโอมยังไม่ต้องไปไหนแม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
อนลแสยะยิ้มพร้อมกับยักไหล่ก่อนจะพูดว่า “ผมไม่มีอะไรจะคุยกับแม่ครับ”
แล้วก็สาวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน คนเป็นแม่รีบเดินตามเข้าไป สลิสาและคนรับใช้ก็ด้วย
“อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลย เพราะแบบนี้ไงนายพ่อถึงไม่ไว้ใจแกเสียที”
“อย่ามาเรียกมันว่านายพ่อ...นายพ่อของผมมีคนเดียวเท่านั้นและแม่ก็ฆ่าท่านตายไปแล้ว”
“โอม!!!”
“อุแหวะ...”
จังหวะนั้นสลิสาก็ดึงความสนใจจากทั้งสองคนไปด้วยอาการพะอืดพะอม
