บทที่ 3 บทที่ 3
บทที่ 3
“เธอชื่ออะไร” ชายหนุ่มตะคอกถามเสียงห้วนๆ เช่นเดิม
“ชญาดา...” สาวน้อยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกัน
“ชื่อเล่น?”
“พริ้ม...”
“เอาล่ะพรีม”
“ฉันชื่อพริ้ม ไม่ได้ชื่อพรีม กรุณาเรียกให้ถูกด้วย” ชญาดาแทรกขึ้นทันทีที่เขาเรียกชื่อเล่นของเธอไม่ถูก
“ฉันพอใจจะเรียกอย่างนี้ มีอะไรมั้ย ถ้าไม่อยากถูกปิดปากด้วยปากของฉันก็อย่าอวดดีและพูดแทรกตอนที่ฉันยังพูดไม่จบอีก” เขาขู่เสียงห้วนเข้ม
“คนกักขฬะ เอะอะๆ ก็เอาแต่ขู่ๆ กลัวตายล่ะ”
แม้คำขู่ของเขาจะชวนให้หน้าแดง แต่ชญาดาก็เก็บอาการไว้มิดชิดและเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งๆ เธอไม่มีทางเคลิ้มหรือหลงเสน่ห์ผู้ชายแบบนี้แน่ ถึงแม้เขาจะดูหล่อและเซ็กซี่มากก็เถอะ
“ดูท่าก็คงอยากถูกฉันจูบเหมือนกันนี่ ไม่อย่างนั้นคงไม่หน้าแดงแจ๋แบบนั้นหรอก แต่บอกไว้ก่อนนะ รสนิยมของฉันห่างไกลจากทุกอย่างที่เป็นเธอโดยสิ้นเชิง เด็กนรกแบบเธอน่ะ ฉันไม่คิดแม้แต่จะชายตาแล”
ชญาดาเจ็บจี๊ดจนเกือบจุกกับวาจาร้ายกาจที่หลุดออกมาจากปากของผู้ชายตรงหน้า แม้จะไม่แปลกใจนักที่ได้ยินเช่นนั้น แต่ก็อดหน้าชาไม่ได้ เขาชักจะหลงตัวเองมากไปแล้ว คนอย่างชญาดาไม่มีทางคิดอะไรงี่เง่าแบบที่เขากำลังกล่าวหาแน่นอน อีกอย่างเธอก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน ที่เขาไม่คิดว่าเธอเป็นผู้หญิงในสเป็ก ไม่อย่างนั้นเธอจะไปทำบุญล้างซวยสักสิบวัด
“ว่างๆ ก็ให้หมอของคุณมาตรวจสมองบ้างก็ดีนะ เพราะตอนนี้ท่าทางโรคหลงตัวเองของคุณคงกำลังกำเริบอย่างหนัก” แมทธิวแสยะยิ้มหยันๆ ก่อนจะยอกย้อนอย่างเจ็บแสบพอกัน
“ปากจัดๆ แบบนี้สินะถึงได้ไม่มีใครเอา ขนาดต้องลงทุนให้ท่าผู้ชายในระหว่างทำงานก็ไม่เว้น”
“ถึงจะไม่มีใครเอา ฉันก็ไม่คิดจะเอากับคุณหรอก อีกอย่างฉันก็ไม่เคยให้ท่าผู้ชายคนไหนทั้งนั้น ถ้าไม่อยากเจอดีก็หยุดกล่าวหาฉันเดี๋ยวนี้ไอ้คนแก่บ้าตัณหา!” สาวน้อยขู่ฟ่อเพราะถูกยั่วจนโกรธ
“เอาตัวเองให้รอดก่อนดีไหมหนูน้อย ส่วนคำว่าบ้าตัณหาฉัน ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจก็แล้วกัน แล้วฉันจะแสดงให้เธอดูว่าตัณหาของฉันน่ะมันเร้าใจขนาดไหน”
“อะ...ไอ้...”
ชญาดากำลังจะตอบโต้ไปแสบๆ คันๆ ให้สาสม แต่แมทธิวตะคอกขึ้นเสียก่อน
“หุบปากนะ ฉันขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กปากยังไม่สิ้น กลิ่นน้ำนมอย่างเธอเต็มทน” ปากบอกว่าขี้เกียจ แต่กลับต่อปากต่อคำกับเธอได้นานสองนาน
“ฉันก็เหม็นหน้าคุณจะแย่แล้วเหมือนกัน” จมูกโด่งรั้นย่นเข้าหากันอย่างโมโหและรำคาญไม่ต่างจากเขานักหรอก
“ยัยเด็กแสบ!” ดวงตาคู่คมวาวโรจน์
“ไอ้ผู้ชายแก่บ้าตัณหา!”
“นรกฉิบ!”
แมทธิวได้แต่สบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินไปหยิบเอาขวดไวน์ ที่วางอยู่ในตู้ แล้วก้าวดุ่มๆ ออกจากห้องที่แสนสบายไปอยู่รวมกับลูกน้องของตนในอีกห้อง
หลังจากถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ชญาดาก็ลุกขึ้นเพื่อเดินสำรวจห้อง อาการเจ็บแปลบๆ บริเวณข้อเท้าทำให้ร่างบางต้องทรุดตัวนั่งลงบนเบาะนุ่มนั้นอีกครั้ง นั่นเป็นครั้งแรกที่สาวน้อยรู้สึกว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บจริงๆ ตั้งแต่ที่เกือบถูกรถชน เธอก็ยังไม่มีโอกาสได้ยืนเลย เพราะถูกเศรษฐีจอมเบ่งอุ้มมาตลอด
ร่างแน่งน้อยเดินกะเผลกๆ สำรวจห้องไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่ามีห้องน้ำอยู่อีกมุมหนึ่ง มือเรียวบางก็ผลักเข้าไป จัดการล้างหน้าและล้างเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมจากการคลุกฝุ่นบนพื้นถนนออกจนสะอาดสะอ้านจึงค่อยสดชื่นขึ้นมาบ้าง
ดวงตาเรียวหวานมองใบหน้าใสๆ ที่ปราศจากเครื่องสำอางของตัวเองผ่านกระจก แล้วก็มุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างเป็นกังวล เวลาบนนาฬิกาข้อมือบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ แล้ว หากเป็นยามปกติป่านนี้เธอคงกำลังนั่งทำงานพาร์ตไทม์อยู่ในห้องฝ่ายธุรการการเงินของโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าทางนั้นจะว่าอย่างไรที่จู่ๆ เธอก็ขาดงานโดยไม่บอกไม่กล่าว อีกทั้งยังเกรงว่าจะทำให้คนที่อุตส่าห์ฝากงานให้เสียหายไปด้วย ทั้งหมดนี่เป็นเพราะไอ้เศรษฐีแก่บ้าตัณหา โมโหร้าย ใจแคบ และปากจัดคนนั้นคนเดียว ถ้าเขาขับรถอย่างระมัดระวังและมีน้ำใจกว่านี้สักนิด เธอก็คงไม่ถูกลากตัวมาเคลียร์บนเครื่องบินแบบนี้หรอก
ชญาดาค่อยๆ เดินกะเผลกๆ ออกจากห้องน้ำ พาตัวเองกลับไปนั่งที่เบาะในห้องวีไอพีดังเดิม เครื่องบินเจ็ทลำนี้คงจะราคาแพงและนักบินคงมีชั่วโมงบินสูงน่าดู เธอถึงแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเครื่องเหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและปรับระดับเพดานบินตอนไหน
อากาศที่เย็นสบายบวกกับความเงียบเชียบของห้องรวมถึงร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้สาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดเผลอหลับไปบนเบาะนุ่มนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
เปลือกตาบางที่ประดับด้วยแพขนตางอนยาวขยับยุกยิกอย่างเป็นอัตโนมัติ เมื่อการนอนอันแสนสบายถูกรบกวนด้วยเสียงของใครบางคน ชญาดาจำได้ดีว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของเศรษฐีจอมเบ่ง จึงรีบลืมตาขึ้นมองเต็มตาด้วยสัญชาตญาณของการระวังตัว แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ในรัศมีที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ตอนนี้ร่างสูงยืนหันหลังให้เธอ และคุยโทรศัพท์กับใครบางคน สาวน้อยจึงเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ จะว่าเสียมารยาทก็ใช่ แต่ใครใช้ให้เขาเข้ามาคุยในนี้กันล่ะ
“ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนครับท่าน ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินกับคู่หมั้นของผม พอดีก่อนมารัสเซียเธอเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ ผมเป็นห่วงก็เลยพามาด้วย แต่ติดปัญหาที่ว่าเธอไม่มีพาสปอร์ตเข้ารัสเซีย”
เสียงที่ดังเข้ามากระทบโสตประสาทนั้น ทำให้คนแอบฟังนึกทวนคำพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
‘คู่หมั้น?’
‘รัสเซีย?’
บนเครื่องบินลำนี้มีผู้หญิงคนอื่นโดยสารมาด้วยอีกอย่างนั้นหรือ แล้วผู้หญิงที่เศรษฐีจอมเบ่งบอกว่าเป็นคู่หมั้นของเขาอยู่ที่ไหน ที่เขาพูดถึงรัสเซียหมายความว่ายังไง หรือว่าเขากำลังจะไปรัสเซีย ไปทำไมกัน...






























































































