บทที่ 3 Chapter 3
ขณะพูดสายตาก็พุ่งมองไปยังดวงหน้าของลูกสะใภ้คนโตเขม็ง คนถูกมองรู้สึกราวกับว่า ตัวลีบลงทันใด
“ผมไปด้วย” เจ้าของเสียงคือพัฒนา ประมุขของบ้าน
“ข้าวเย็นหน้าตาน่ากินทั้งนั้น แต่บรรยากาศกลับเน่าเสีย” ภาษิต ลูกคนเล็กของบ้านและเป็นน้องชายของพีรภัทรไม่ออมคำพูด
แล้วทั้งสามก็พากันก้าวเดินออกจากห้องกินข้าว เดินผ่านร่างพรนับพันราวกับว่า เธอไม่มีตัวตน เป็นอากาศที่มองไม่เห็น แต่รู้สึกได้ว่ามี มันทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งนัก น้ำตารินไหลลงมาอย่างสุดกลั้น นับตั้งแต่วันนั้น พรนับพันกินข้าวในห้องครัวมาตลอด เธอพยายามหลีกเลี่ยงการพบหน้าคนในบ้าน กินข้าวเสร็จก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน แล้วขลุกตัวอยู่ในห้อง หัวใจเธออ้างว้างและเปลี่ยวเหงามาก
ส่วนพีรภัทรไม่ได้กลับบ้านเลยนับแต่วันนั้น เขาพักอาศัยในคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ราคาสูงถึงเจ็ดสิบล้านบาท โดยไม่คิดจะกลับมาบ้านหลังนี้ เขาแสดงออกชัดเจนว่า ไม่ปรารถนาพรนับพันเป็นเมีย ผู้หญิงที่เขาไม่ชอบหน้าตั้งแต่เด็ก
พรนับพันตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชิน และทุกเช้าเธอจะเข้าไปช่วยป้าก้อยและน้อมทำอาหารเช้า แม้ว่าเจ้านายบ้านหลังนี้จะไม่ชอบหน้าเธอ แต่ยังดีที่คนรับใช้ไม่ได้ชิงชังตาม กลับคุ้นเคยกับพรนับพัน เป็นเพราะพวกเธอเดินผ่านประตูเล็กที่เชื่อมต่อระหว่างสองบ้าน ไปทำส้มตำกินกันบ่อยๆ และแบ่งปันอาหารมาให้เจ้านายทั้งสองบ้าน ซึ่งคนที่นำอาหารมาให้บ้านหลังนี้คือ พรนับพัน
“แย่แล้วค่ะคุณหมิว ป้าก้อยไม่สบายทำอาหารไม่ไหว ของเตรียมไว้หมดแล้วด้วย รอแกมาปรุงอย่างเดียว” ต่ายบอกพรนับพันที่เดินเข้ามาในครัว
“ไปซื้อโจ๊กให้คุณๆ กินดีไหม โจ๊กหน้าปากซอยน่ะซื้อปาท่องโก๋มาด้วย แล้วบอกคุณๆ ว่าป้าก้อยไม่สบายไม่มีใครทำมื้อเช้า” น้อมเสนอทางออก
“ถ้าคุณๆ ชอบฉันก็ออกไปซื้อแล้วสิ แกจำไม่ได้เหรอว่า เคยซื้อมาแล้วแต่คุณๆ ไม่กินกันเลย บอกว่าไม่อร่อย” ต่ายบอกน้อม “ฉันทำกับข้าวไม่เป็นซะด้วย ไม่งั้นจะทำเอง”
“คุณๆ บ้านนี้ยุ่งยากเรื่องมื้อเช้าซะด้วย กินอาหารซื้อก็บ่นว่าไม่อร่อย ต้องกินฝีมือป้าก้อยเท่านั้น ความที่ซื้อกินแล้วเรื่องมากอย่างนี้ไงล่ะ พอป้าก้อยป่วยเลยวุ่นวาย” น้อมอดบ่นไม่ได้ มื้ออื่นยังพอทำเนา แต่มื้อเช้าถือว่าได้นั่งกินอาหารกันพร้อมหน้า มันจึงเป็นเรื่องสำคัญของบ้านนี้ แต่ก็มีมื้อเย็นบ้างมื้อที่อยู่กันครบทุกองค์ประชุม
“แล้วมื้อเช้าวันนี้ตั้งใจทำอะไรล่ะ” พรนับพันถาม
“ข้าวต้มกุ้งค่ะ” ต่ายตอบ
“งั้นฉันทำให้ก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องปวดหัวเวียนหมองกันไง” พรนับพันหาทางออกให้ “แล้วก็ไม่ต้องบอกใครว่าฉันทำ เป็นความลับของเราสามคน”
“คุณผู้หญิงรู้ว่าฉันสองคนทำกับข้าวไม่เป็น ถ้ายกออกไปเสิร์ฟก็คงต้องถูกถามว่า ใครเป็นคนทำ คราวนี้จะตอบยังไงล่ะคะ” น้อมพูดอย่างเป็นกังวล
“คุณลุง คุณป้าแล้วก็คุณเอไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าป้าก้อยไม่สบาย ถ้าไม่รู้ก็ทำเฉยๆ สิ แต่ถ้ารสชาติที่ฉันทำไม่เหมือนกับป้าก้อยทำ คุณท่านชิมแล้วรู้ น้อมกับต่ายก็ตอบไปเลยว่า ป้าก้อยไม่สบาย เธอสองคนเลยช่วยกันทำด้วยการเปิดดูในยูทูป แค่นี้ก็ไม่มีใครสงสัยแล้วจริงไหม” ทางออกนี้ทำให้สองสาวใช้ยิ้มได้ และเห็นด้วย
“งั้นทำเลยค่ะคุณหมิว จะว่าไปฝีมือคุณหมิวชั้นเลิศอยู่แล้ว” น้อมรู้ฝีมือการปรุงอาหารของพรนับพันดีว่า ฝีมือปลายจวักดีแค่ไหน ขนาดทอดไข่เจียวหมูสับยังอร่อย ต่างกับตนที่ไข่ดาวยังไหม้ “นี่ค่ะ เตรียมไว้หมดแล้ว”
พรนับพันดูของสดคือกุ้งแม่น้ำขนาดกลางและผักโรยหน้าที่ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะเตรียมอาหาร ก่อนหันไปมองข้าวต้มในหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊ส
“กุ้งแม่น้ำตัวกำลังดี ฉันว่าเปลี่ยนเมนูนิดนึงดีกว่า”
“แล้วคุณหมิวจะเปลี่ยนเป็นอะไรคะ” น้อมถาม
“ข้าวต้มกุ้งพิโรธจ้ะ” พรนับพันตอบ “คุณย่าชอบกินมากๆ เลย แล้วฉันก็เชื่อว่า คุณท่านก็ต้องชอบ”
แม้ว่าสองสาวใช้จะไม่รู้จักหน้าตาเมนูอาหารที่ว่านี้ ชื่ออาหารก็เพิ่งได้ยินครั้งแรก แต่จากชื่อ ข้าวต้มกุ้งพิโรธ ชื่อชวนให้ลองกินมาก น้อมกับต่ายจึงพยักหน้าแทนคำตอบ พรนับพันจึงลงมือทำอาหารเช้าให้เจ้านายบ้านหลังนี้กิน โดยมีสองสาวใช้เป็นลูกมือ และดูการปรุงอาหารของลูกสะใภ้บ้านหลังนี้
พัฒนา กนกวรรณและภาษิตมองดูอาหารตรงหน้าด้วยความแปลกใจ และเกิดน้ำลายสอขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร สาเหตุเป็นเพราะข้าวต้มกุ้งเช้านี้ต่างกับทุกครั้งที่กิน อาจพูดได้ว่า ทั้งสามไม่เคยกินข้าวต้มชามนี้ก็ว่าได้
“แน่ใจนะว่า แกสองคนช่วยกันทำจริงๆ”
กนกวรรณถามเพื่อความแน่ใจ นางรู้จากสองสาวใช้ว่า ป้าก้อยไม่สบายลุกมาทำอาหารไม่ไหว ทั้งสองจึงช่วยกันทำโดยใช้วิธีเปิดดูในยูทูป
“ใช่ค่ะคุณผู้หญิง เราสองคนช่วยกันทำค่ะ ทำตามสูตรเป๊ะ” น้อมตอบ ใจคอไม่ดีกลัวถูกจับได้
“หน้าตาผ่าน กลิ่นก็ผ่าน เหลือแต่รสชาติ” ภาษิตเอ่ยขึ้น ขณะมองดูชามข้าวต้มกุ้งพิโรธที่หน้าตาน่ากินมาก
