บทที่ 2 ตอนที่2
ตอนที่2
แกร๊ก!
เสียงของประตูห้องนอนที่ถูกปิดสนิทลงทันทีที่สิงหราชเปิดประตูออกไป
".........." ลินินที่เห็นแบบนั้นก็รีบเหวี่ยงขาทั้งสองข้างลงจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปคว้าชุดนอนที่ตกอยู่ที่พื้นมาสวมใส่ ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ประตูห้องจัดการล็อคประตูห้องอย่างรวดเร็ว
เพราะกลัวว่าสิงหราชคนใจร้ายจะกลับมาเข้ามาในห้องของเธออีก หลังจากที่จัดการล็อคประตูห้องเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาที่เตียงนอนของตัวเอง
ร่างเล็กทิ้งตัวลงไปกับที่นอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ก่อนที่จะพลิกตัวนอนตะแคงกอดตัวเองเอาไว้
น้ำตาสีใสที่เหือดแห้งไปก่อนหน้านี้กลับไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่สิงหราชคนใจร้ายพึ่งทำไว้กับเธอ
"ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้?" ลินินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสะอื้น
ดวงตากลมโตที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาค่อยๆปิดสนิทลง พลางนึกถึงเรื่องราวเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน เรื่องราวที่ทำให้เธอกับแม่ของเธอต้องย้ายเข้ามาในคฤหาสน์แห่งนี้
จุดเริ่มต้นมันเกิดในวันนั้น วันที่เด็กจบใหม่อย่างเธอออกไปสมัครงาน แล้วกลับมาบ้านก็พบว่าผู้เป็นแม่หมดสติอยู่ที่พื้น ในมือกำรูปชายหนุ่มรุ่นลูกคนหนึ่งซึ่งเธอก็รู้ดีว่าผู้เป็นแม่รักคนๆนั้นสุดหัวใจเอาไว้
ตอนนั้นเธอตกใจมาก ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้ก็รีบโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลมารับโฉมฉายผู้เป็นแม่ ถึงได้รู้ความจริงบ้างอย่างที่ผู้เป็นแม่ปิดเอาไว้
"แม่คะ...ฮึก ทำไมแม่ไม่บอกนินคะ ทำไมไม่บอกว่าแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย" ลินินจับมือของโฉมฉายเอาไว้ด้วยหัวใจที่ปวดร้าวพร้อมกับเอ่ยถามทั้งน้ำตา ขณะที่โฉมฉายนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยใบหน้าซีดเซียว
ทว่าโฉมฉายก็ยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง และนั่นก็ทำให้โฉมฉายและลินินหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง ก็ปรากฏร่างชายสูงวัยคนหนึ่งนั่นก็คือพิพัฒน์
"คุณลุง!" ลินินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจซึ่งไม่ต่างจากโฉมฉายที่ดูตกใจเหมือนกันกับเธอ
"คุณ...!!!" โฉยฉายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"คุณจะปกปิดผมไปอีกนานเท่าไหร่โฉม ต้องรอให้ถึงวันสุดท้ายก่อนเลยหรือไง คุณยังเห็นผมเป็นผัวอยู่ไหมโฉม?" พิพัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและความโกรธ
เขาสาวเท้าเดินตรงมาหาโฉมฉายที่เตียงผู้ป่วย ซึ่งลินินก็ยันตัวลุกจากเก้าอี้เบี่ยงตัวหลบให้พิพัฒน์ได้นั่งคุยกับโฉมฉาย แล้วพาตัวเองมานั่งที่โซฟาที่อยู่ภายในห้องพิเศษของโรงพยาบาล
"โฉมทำไมคุณไม่บอกผม ทำไมต้องให้ผมรู้เอง ผมจะบ้าตายอยู่แล้วนะโฉม" ทันทีที่พิพัฒน์หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ก็ขว้ามือโฉมฉายเข้ามาจับพร้อมกับเอ่ยพูดทั้งน้ำตา
"โฉมขอโทษค่ะ โฉมก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เอง" โฉมฉายพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ค่อยๆเอี้ยวตัวยื่นมือข้างที่ยังว่างใช้ปลายนิ้วค่อยๆเช็ดน้ำตาให้กับผู้เป็นสามี
"แล้วทำไมไม่รีบบอกผม?"
"โฉมไม่อยากบอกให้คุณเครียดนี่คะ อีกอย่างโฉมก็ทำใจแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดค่ะ"
"ผมทำใจไม่ได้หรอกนะโฉม คุณต้องอยู่อย่างลำบาก ผมไม่เคยชดใช้อะไรให้คุณเลย" พิพัฒน์เอ่ยทั้งน้ำตา คำพูดของเขาแสดงถึงความอัดอั้นที่อยู่ในใจ
ทั้งที่รักจนสุดหัวใจ แต่ก็แทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน เพราะเขาเองก็มีหน้าที่หลายบทบาท แถมงานก็ยังรัดตัว
"โฉมไม่ต้องการอะไรจากคุณค่ะ โฉมเคยบอกกับคุณหลายครั้งแล้ว ถ้าโฉมเป็นไรไปฝากดูลูกด้วยนะคะ" โฉมฉายยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
แต่คำว่าลูกที่โฉมฉายพูดออกมานั้นไม่ได้หมายถึงลินินเพียงคนเดียว
"ไม่นะโฉมคุณต้องไม่เป็นอะไร ไปอยู่ที่บ้านกับผมนะโฉม ผมจะดูแลคุณเอง อย่ามัวชักช้าอีกเลยนะ ผมรู้คุณอยากเห็นเขา อยากสัมผัส อยากกอดเขา อยากอยู่ใกล้ๆเขาไม่ใช่เหรอโฉม ผมว่ามันควรจะถึงเวลานั้นได้แล้ว อย่ารออีกเลย"
"อย่าเลยค่ะ โฉมไม่อยาก..." โฉมฉายยังพูดไม่ทันจบประโยคพิพัฒน์ที่รู้ว่าโฉมฉายจะปฏิเสธก็ขัดขึ้นทันที
"ผมไม่ยอมแล้วนะโฉม ถ้าคุณไม่ยอมไปอยู่กับผมที่บ้าน ทุกอย่างที่ผมรับปากคุณเอาไว้ผมจะเปิดเผยมันออกมาให้หมด"
"อย่านะคะ!" โฉมฉายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดัง
"งั้นก็ไปอยู่กับผมที่บ้าน เอาหนูนินไปด้วย ไปกันทั้งสองคนนี่แหละ"
คำพูดของพิพัฒน์ทำเอาโฉมฉายเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายแล้วเธอก็หันไปมองลินินที่รู้เรื่องทุกอย่าง และยังคงฟังผู้ใหญ่ทั้งสองคนอย่างเงียบๆ
"นินจะว่าอะไรไหมถ้าแม่..."
"แม่อยู่ที่ไหน นินก็จะอยู่ที่นั่นค่ะ แม่ไม่ต้องกังวลเลย" ลินินกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาให้ไหลออกมาจากดวงตาสวย
หลังจากที่รู้ว่าโฉมฉายเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและอาจจะอยู่ได้ไม่เกิน5เดือน เธอก็ปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ในใจ ว่าต่อไปนี้จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณโฉมฉาย ไม่ว่าอะไรที่จะทำให้โฉมฉายมีความสุขเธอจะทำให้ทุกอย่าง
"ขอบใจนะลูก" โฉมฉายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"หนูลินินก็ตกลงแล้ว ไปอยู่ที่บ้านกับผมได้แล้วใช่ไหมโฉม ไปอยู่บ้านกับผมนะ" พิพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
"จะให้โฉมไปอยู่ด้วยจริงๆเหรอคะ คือว่าโฉมกลัว..."
"ทั้งสามคนนั้นโตกันหมดแล้วนะโฉม ตาใหญ่ก็35เข้าไปแล้วนะ ส่วนเจ้าคู่แฝดนั่นก็33แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก"
"............" โฉมฉายฟังที่พิพัฒน์พูดก็ขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตเธอแล้วก็ได้ "ตกลงค่ะ โฉมจะไปอยู่กับคุณ"
"ผมดีใจที่สุดเลยโฉม ในที่สุดคุณก็ยอมไปอยู่กับผมแล้ว" พิพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจพุ่งตัวจะไปกอดคนที่นอนอยู่บนเตียงอย่างโฉมฉาย ทว่าก็โดนผลักเอาไว้ซะก่อน
"อายลูกบ้างสิคะ ลินินนั่งอยู่ตรงนั้นนะ" คำพูดของโฉมฉายทำให้พิพัฒน์หันกลับไปมองลินิน ซึ่งลินินก็ฉีกยิ้มบางๆออกมา
"ขอโทษนะหนู ลุงดีใจมากไปหน่อย"
"ไม่เป็นไรค่ะนินเข้าใจ"
"นินลูก หนูเดินมาหาแม่หน่อย"
"..........." ทันทีที่ได้ยินโฉมฉายเอ่ยเรียก ลินินก็รีบยันตัวลุกขึ้นยืน เธอสาวเท้าเดินมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ดวงตาที่แดงช้ำหลังจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของโฉมฉาย ก่อนจะเอ่ยพูด..."แม่มีอะไรจะพูดกับนินเหรอคะ?"
"แม่มีอะไรจะขอนินนะลูก" โฉมฉายเอ่ยบอกกับลินินก่อนที่จะหันไปหาพิพัฒน์อีกฝั่งหนึ่งของเตียง "คุณก็ด้วยคะ"
"ว่ามาสิ ผมกับหนูลินินฟังอยู่"
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งคุณทั้งนิน ห้ามพูดเรื่องนั้นออกมาเด็ดขาด รับปากฉันนะคะคุณ" โฉมฉายหันไปคาดคั้นเอาคำตอบกับพิพัตน์เป็นคนแรก
"คุณพูดกับผมเป็นครั้งที่ร้อยแล้วโฉม ผมรับปากครับ" พิพัฒน์ตอบทำให้เห็นรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าของโฉมฉาย ก่อนที่เธอจะหันไปหาลินิน
"นินล่ะลูก รับปากแม่ได้ไหม?"
"ค่ะ...นินรับปาก" ลินินเอ่ยบอกพร้อมกับพยักหน้าและนั่นก็ทำให้โฉมฉายยิ้มกว้าง
"ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องหมดแล้วนะ หลังจากที่คุณออกจากโรงพยาบาล คุณกับหนูนินก็เตรียมตัวได้เลยนะ ผมจะพาไปบ้านทันที"
..........
อีกด้าน
"หึ...หวานดี" น้ำเสียงเข้มเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยักของสิงหราช ในตอนที่เขายกปลายนิ้วใหญ่เกลี่ยเบาๆไปที่ริมฝีปากล่างของตัวเอง
"หวานขนาดนั้นเลยเหรอครับ...พี่ใหญ่" เสียงของเหมราชดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเดินมาจากอีกมุมหนึ่งไม่ไกลจากจุดที่สิงหราชยืนอยู่มากนัก
ใบหน้ากับสายตาของเหมราชแสดงออกถึงอาการล้อเลียนพี่ชาย และนั่นทำให้พี่ใหญ่อย่างสิงหราชตีหน้าเคร่งขรึมในทันที
"ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน" เอ่ยถามเหมราชด้วยน้ำเสียงเข้ม ทันทีที่น้องชายคนกลางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
"แล้วพี่ใหญ่ล่ะครับ ทำไมยังไม่นอน?" เหมราชยังคงพูดด้วยใบหน้าล้อเลียน ก่อนที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นความผิดปกติบนหน้าของพี่ชายคนโต "โดนตบมาเหรอครับ?"
"ก็เห็นอยู่แล้วจะถามเพื่อ" พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพร้อมกับยกฝ่ามือหนาไปลูบแก้มซ้ายของตัวเองเบาๆ ยังรู้สึกชาแต่ไม่ถึงกับเจ็บ
"แล้วเธอเป็นยังไงบ้างครับ ต้องให้ผมเรียกรถพยาบาลมารับหรือเปล่า?"
"ทำไมจะต้องเรียกรถพยาบาลมารับด้วย นอกจากร้องไห้จะเป็นจะตาย ก็ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย"
"จริงเหรอครับ?" เหมราชถามย้ำ
"ไม่เชื่อ" สิงหราชเลิกคิ้วถามน้องชาย ซึ่งเหมราชก็ไว้ไหล่พร้อมกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่จากท่าทางของเหมราชทำให้พี่ใหญ่อย่างสิงหราชต้องถามย้ำ "ทำไมถึงไม่เชื่อ?"
"ไม่ใช่ไม่เชื่อครับ แต่ผมแค่แปลกใจ"
เป็นอันรู้กันในบรรดาพี่น้องและเพื่อนสนิท รวมถึงเลขาคนสนิทอย่างการันต์ว่าสิงราชเป็นคนยังไง
ภายนอกสิงหราชเป็นนักธุรกิจหนุ่มหล่อไฟแรงภาพลักษณ์ดี เขานิ่ง สุขุม ฉลาดปราดเปรื่อง เขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยๆ
แต่ลึกๆแล้วใครจะรู้ตัวจริงของสิงหราชนั้น เขาดุ โหดร้าย โหดเหี้ยม เกลียดที่สุดคือคนที่ล้ำเส้นตัวเอง และมักจะเอาคืนอย่างสาสมในทุกๆครั้ง ไม่ยกเว้นให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น
"ก็แค่ไม่อยากทำ" สิงหราชพูดจบก็ล้วงมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ
ก้าวเท้าลงไปที่บันได เขาจะลงไปยังชั้นล่างของคฤหาสน์ เพื่อที่จะไปยังลานจอดรถ
พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์และเป็นวันหยุด คืนนี้เขาเลยมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนสนิท ตามประสาหนุ่มโสด
"ถ้าพี่ใหญ่ชอบเธอทำไมไม่จีบเธอดีๆล่ะครับ" เสียงของเหมราชดังขึ้นในตอนที่เขาก้าวเท้าลงบันไดตามหลังพี่ชาย
ซึ่งคำพูดนั้นก็ทำให้สิงหราชชะงักเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมาเผชิญหน้ากับน้องชาย ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ
"แล้วใครว่าพี่ชอบ คิดว่าพี่จะชอบลูกของผู้หญิงหิวเงินได้หรือไง?"
"จากที่ผมสังเกต ผมว่าคุณน้าโฉมฉายไม่ใช่คนแบบนั้น"
"เหอะ!" สิงหราชไม่ได้พูดอะไรนอกเสียจากแค่นเสียงหัวเราะออกมาในลำคออย่างเย้ยหยัน ก้าวเท้าใหญ่ลงบันไดต่อ
"แล้วตกลงยังไงครับ พี่ใหญ่ไม่ชอบเธอจริงๆเหรอครับ?" เหมราชพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนที่จะก้าวเท้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆกับพี่ชาย ซึ่งสีหราชก็ยังคงตีสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม
"แมวน้อยตัวนี้ทั้งสวยทั้งน่ารัก ดูก็รู้ว่าเรียบร้อย แถมยังอ่อนโยน ทำอาหารก็เก่ง ไม่ชอบจริงเหรอครับ?"
"ไม่ชอบ" สิงหราชตอบแบบผ่านๆจากนั้นก็ขยับตัวก้าวเท้าลงไปยังชั้นล่างต่อ
แต่คนที่อยากแกล้ง อยากทำให้พี่ชายที่ชอบวางมาดเป็นท่านประธานเสียทุกที เสียอาการก็ตามแกล้งต่อ
"งั้นถ้าพี่ใหญ่ไม่ชอบ ผมกับไอ้เล็กจะจีบ" เหมราชเอ่ยถึงน้องชายฝาแฝดอย่างติณราช ที่ตอนนี้นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของตัวเอง
ซึ่งนั่นก็ทำให้สิงหราชชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเสียอาการ
"ตามใจ" ตอบน้องชายเพียงแค่นั้นก็ก้าวเท้าต่อ
ทว่าก็ต้องชะงักเท้าใบหน้าบึ้งตึงไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นพิพัฒน์ผู้เป็นพ่อประคองโฉมฉายที่กำลังเดินเข้ามาในบ้าน
"จะไปไหนตาใหญ่" พิพัฒน์เอ่ยทักลูกชายคนโตด้วยน้ำเสียงนุ่มทันที ที่ประคองโฉมฉายตรงประตูหน้าบ้านประจัญหน้าอยู่กับสิงหราช
ซึ่งโฉมฉายก็มองไปที่สิงหราชด้วยรอยยิ้มพร้อมกับใบหน้าที่อ่อนโยน และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เหมราชเดินเข้ามาสมทบพอดี
"พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมนัดกับเพื่อนเอาไว้ที่คลับ พรุ่งนี้อาจจะกลับสายๆครับ" สิงหราชตอบผู้เป็นพ่อพยายามไม่สนใจสายตาของโฉมฉาย ที่มองมาแล้วพาลจะทำให้เขาหงุดหงิดกว่าเดิม
"มันดึกแล้วนะคะคุณใหญ่ อย่าไปเลยนะคะ น้าเกรงว่ามันจะอันตราย" โฉมฉายเอ่ยด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เป็นห่วง ทว่าสีหราชกับชักสีหน้าไม่พอใจใส่
"เป็นแม่ผมหรือไง?"
"ตาใหญ่ทำไมถึงพูดกับน้าเขาแบบนี้" พิพัฒน์เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงดุใส่ลูกชายคนโต
ซึ่งสิงหราชก็หันหน้าหนีผู้เป็นพ่อ ทำให้พิพัฒน์ถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะก้มหน้าไปมองโฉมฉายที่มองไปที่สิงหาราชด้วยใบหน้าเศร้า "ไม่เป็นไรนะโฉมตาใหญ่คงอารมณ์ไม่ดี"
"ใช่ครับคุณน้า" เหมราชพูดเสริมผู้เป็นพ่อ เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ดี "ตอนนี้พี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดีนะครับคุณน้า อย่าถือพี่ใหญ่เลยนะครับ"
"ค่ะ...น้าไม่ถือโทษโกรธคุณใหญ่หรอกค่ะ" โฉมฉายเอ่ยพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มบางๆให้กับเหมราช
"เหอะ!" สิงหราชแค่นเสียงหัวเราะในลำคอออกมาอย่างเย้ยหยัน และนั่นก็ทำให้ทุกสายตาหันกลับไปมอง "ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว ผมไปนะครับพ่อ"
"........." พิพัฒน์ไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้ารับลูกชายหัวดื้อ
"พี่ไปก่อนนะ" สิงหราชเบนสายตาไปบอกน้องชายที่ยืนอยู่เยื้องกันกับเขา ซึ่งเหมราชก็พยักหน้าเข้าใจ ไม่นานเขาก็เดินตรงไปที่ลานจอดรถ
โดยที่โฉมฉายมองตามแผ่นหลังกว้างของสิงหราชไปด้วยสายตาเป็นห่วง ก่อนที่เสียงของเหมราชจะดังขึ้นดึงความสนใจให้เธอหันกลับมามอง
"ใครเป็นอะไรครับ ผมเห็นมีถุงยาของโรงพยาบาล?" เหมราชเอ่ยถามเพราะเห็นถุงยาของโรงพยาบาลเอกชนอยู่ในมือของผู้เป็นพ่อ
เพราะก่อนที่จะออกจากบ้านไปเขาได้ยินผู้เป็นพ่อบอกกับน้องสาวมาดๆของเขาอย่างลินินว่าจะไปคุยธุระกับเพื่อน ทว่าตอนกลับดันมีถุงยาติดมือมา
"หลังจากพ่อคุยธุระเสร็จ คุณน้าเขาก็ปวดท้องพ่อเลยพาไปโรงพยาบาลน่ะ"
"อ๋อ...แล้วดีขึ้นหรือยังครับคุณน้า"
"น้าดีขึ้นแล้วค่ะ...คุณกลาง" โฉมฉายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
"ครับ...ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ" เหมราชตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ "ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปช่วยไอ้เล็กเคลียร์งานก่อนนะครับ"
"จ๊ะ" โฉมฉายตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งพิพัฒน์ก็พยักหน้า เหมราชจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน ทำให้ตรงนี้เหลือเพียงแค่พิพัฒน์กับโฉมฉายแค่สองคน
"อย่าคิดมากเลยนะโฉมตาใหญ่ก็เป็นแบบนี้" พิพัฒน์ก้มมามองใบหน้าของโฉมฉายที่แสดงสีหน้าเศร้าสลดออกมาอย่างชัดเจน หลังจากที่อยู่กันเพียงแค่สองคน
"ค่ะ...โฉมจะพยายาม"
"ยังปวดท้องมากอยู่ไหม หลังจากที่คุณหมอฉีดยาแก้ปวดมันบรรเทาขึ้นบ้างไหม?"
"ก็ยังปวดอยู่เหมือนกันค่ะ แต่รู้สึกดีขึ้นมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้ฉีดยา อีกสักพักคงหายปวดสนิทค่ะ"
"ถ้าคุณไม่ไหวบอกผมนะโฉม"
"ค่ะ...ถ้าไม่ไหวโฉมจะบอก"
